อุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้อง “กำนันเซี้ย-เมีย” รุกที่พัสดุ ศาลชี้ขาดเจตนา แต่ทั้ง2 ไม่ได้มา

ภาพจากแฟ้มข่าว

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 8 สิงหาคม ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.4849/2554 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ย อดีตผู้กว้างขวางใน จ.กาญจนบุรี และนางเขมพร ต่างใจเย็น ภรรยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 – 2 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในความครอบครองดูแลของรัฐ

โจทก์ฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2544 – 8 กรกฎาคม 2545 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกและยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานธนารักษ์ พื้นที่ จ.กาญจนบุรี กรมธนารักษ์ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และกองทัพบกมีหน้าที่ดูแลรักษาเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหารโดยเฉพาะ ได้แผ้วถางป่าและไถปรับพื้นที่ทำถนน สร้างบ้านพักอาศัย บ้านพักคนงาน และคอกปศุสัตว์ ในที่ดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่มีสิทธิ และไม่ได้รับอนุญาต ที่หมู่ 2 ต.ช่องด่าน และหมู่ที่ 2 ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี

เหตุเกิดที่หมู่ที่ 2 ต.ช่องด่าน-ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทด้วย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2558 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) และมาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกจำเลยคนละ 17 ปี คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 11 ปี 4 เดือน ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์

Advertisement

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่าเมื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.กาญจนบุรี แจ้งว่า ที่ดินดังกล่าวอยู่นอกเขตปฏิรูปที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และได้รับอนุญาต จากเจ้าหน้าที่ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐ โดยมิได้สิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาต อัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ คดียุติในส่วนนี้

จำเลยยื่นอุทธรณ์อ้างว่า บุตรทั้งสองของจำเลยเป็นผู้มีชื่อถูกต้องตามกฎหมายในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จริง และโจทก์ก็ไม่มีพยาน ที่มาเบิกความยืนยันว่า บุตรจำเลยไม่มีชื่อในหนังสือดังกล่าว

ขณะที่ศาลอุทธรณ์รับฟ้งข้อเท็จจริงจาก พยานโจทก์ 5 ปากได้ว่า ขายที่ดินเมื่อปี45 ให้แก่จำเลยจำนวน 223 ไร่เศษ มูลค่า23,321, 550 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่ดินมรดกตกทอด และซื้อขายต่อๆกันมานานกว่า 30 ปี ต่อมาจำเลยได้ทำปศุสัตว์ชื่อว่า เขมประชาฟาร์ม ทำไร่ ปลูกต้นยูคาลิปตัส และโอนที่ดินเป็นชื่อบุตรของจำเลยทั้งสอง โดยที่ดินดังกล่าวไม่อยู่ในเขตทหาร ไม่มีป้าย หรือเขตที่แสดงว่าเป็นที่ราชพัสดุแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์มีเหตุให้จำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้ จึงขาดเจตนาในการกระทำผิด ฐานบุกรุก เข้าไปยึดครองที่ดินของรัฐ จำเลยจึงไม่ผิดตามฟ้อง อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้ยกฟ้อง

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ลับหลัง นายประชา และ นางเขมพร จำเลยทั้งสอง ที่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ คนละ 1 ล้านบาท แต่หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนายประชา 5 ปี และ นาง เขมพร 4 ปี คดีฮั้วประมูล หมายเลขดำ อ.4077/2546 กรณีจำเลยร่วมกันฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ ใน จ.กาญจนบุรี และเพชรบุรี หลายโครงการ เมื่อปี 2542-2544 โดยจำเลยทั้งสองหลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษาฎีกา ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง และให้ออกหมายจับจำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งคดีถึงที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image