‘จุรินทร์’ไม่กังวลนโยบาย’โจ ไบเดน’คาดใช้วิถีเจรจาแบบผ่อนปรน สร้างบรรยากาศค้าโลกและส่งออกไทยลบน้อย และปีหน้าบวก 4%
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกรณีนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า โดยภาพรวมคาดว่า 1.สหรัฐฯยังคงนโยบายและท่าทีเดิม อย่างการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน(เทรดวอร์) แต่ลักษณะจะมีความผ่อนปรนลง 2. คงการเจรจาการค้ากรอบอินโด-แปซิฟิก (AOIP) (ประกอบด้วย 10 ประเทศกลุ่มอาเซียนกับ 8 คู่คู่เจรจาหลัก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย รัสเซีย และสหรัฐ) ในการเพิ่มการค้าและลดอุปสรรคด้านต่างๆ 3. คงใช้เงื่อนไขการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียว เช่น โครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษี(จีเอสพี) มาตราการที่ไม่ใช่ภาษี(เอ็นทีบี)ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน มาตรการปกป้องทางการค้า(เซฟการ์ด) และมีความผ่อนปรนมากขึ้น ขณะที่แตกต่างจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ คือ นายไบเดนจะให้ความสำคัญกับการเจรจาทางการค้าแบบพหุภาคีมากขึ้น เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) กรอบความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก( CPTPP) ขณะเดียวกันอาจเพิ่มการเจรจาแบบทวิภาคี หรือ เอฟทีเอกับประเทศต่างๆ โดยยึดเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน ทรัพย์สินทางปัญญา และสิทธิมนุษยชน เป็นเงื่อนไขต่อรองหรือเจรจาทางการค้า
“ผมไม่กังวลในส่วนที่จะเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนประธานาธิบดีสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับภาคเอกชน(กรอ.พาณิชย์)มาตลอด และเชื่อว่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐจะมีทิศทางเดียวกับการค้าโลก ที่จะผ่อนปรนขึ้น ลดความตึงเครียดมากขึ้น และการเจรจาแบบพหุภาคีทำให้ ส่งผลบวกต่อการส่งออกของไทย ทั้งการส่งออกโดยตรงไปสหรัฐ และส่งออกทางอ้อมที่ไทยจะมีโอกาสวัตถุดิบไปจีนเพื่อการผลิตไปสหรัฐจะได้รับประโยชน์มากขึ้น เกิดการย้ายฐานผลิตมากไทย และปรับรูปแบบการเจรจาและการค้าบนอินเตอร์เนตมากขึ้น หรืออีคอมเมิร์ซ ให้ความสำคัญแพลตฟอร์มของสหรัฐ เช่น Amazon มากขึ้น ” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ทำการศึกษาผลดีผลเสียและการติดตามทิศทางการเจรจาการค้าตามนโยบายนายไบเดน ทั้งเรื่องซีพีทีพีพี และเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ซึ่งนโยบายเห็นว่าไทยต้องมีความพร้อมและสามารถปรับตัวได้ ค่อยเปิดการเจรจาหรือเปิดเสรี
“สหรัฐเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย พบว่า ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ไทยกับสหรัฐมีมูลค่าการค้ารวม 1.16 ล้านล้านบาท โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปสหรัฐ 7.9 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 14.7%ของส่งออกรวม และเติบโต 7.4% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เฉพาะเดือนกันยายนไทยส่งออกไปสหรัฐโตถึง 19.7% ทำให้ขยับขึ้นเป็นอันดับ2 รองจากไทยส่งออกไปอาเซียน ของการส่งออกของไทยไปทั่วโลก และเลื่อนจากอันดับ4 ในปี 2562 โดย 4 กลุ่มสินค้าหลัก คือ อิเล็คทรอนิกส์ อาหาร เครื่องตกแต่งบ้านของใช้ในบ้าน อุปกรณ์วัสดุทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น
และหากท่าทีของไบเดนผ่อนปรนกว่าและหันไปเจรจาแบบพหุพาคีจะทำให้การส่งออกไทยไปสหรัฐดีขึ้น และการค้าโลกก็จะดีขึ้นด้วย “ นายจุรินทร์ กล่าว
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ทิศทางการส่งออกไทยดีขึ้นต่อเนื่อง จึงมีโอกาสที่ทั้งปี 2563 การส่งออกไทยจะติดลบลดลงจากคาดการณ์ไว้ ลบ 7% เหลือ 5-6% และฟื้นตัวเป็นบวกในปี 2564 และเป็นบวก 4%
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมค้าต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าหลังจาก 26 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ทำหนังสือถึงรัฐบาลสหรัฐ เร่งรัดต่อโครงการการให้จีเอสพี ที่จะครบเวลาโครงการปลายธันวาคมนี้ ว่า ยังไม่ได้รับคำตอบจากสหรัฐ คาดว่าคงให้ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เข้าปฎิบัตงานก่อน