วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุม “ก.ตร.” พร้อมกับเปิดเก้าอี้สำรองระดับ “พล.ต.ท.” กับ “พล.ต.ต.” เอาไว้ 4 ที่ ว่ากันว่า จะใช้เป็นที่ “ฝัง” ตำรวจที่พัวพันหรือย่อหย่อนในการปราบบ่อนพนันกับเรื่องลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ
คล้ายเข้าท่าดี แต่เป็นวิธีที่ “ท่าดีทีเหลว” !
ตราบใดที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารยังขาดความกล้าหาญ ไม่ลงมือขจัดนักการเมืองโกงกินกับข้าราชการทุจริตด้วยกฎหมายอาญา การย้ายตำรวจเข้ากรุก็แค่ละครฉากหนึ่ง
ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องคดียาไอซ์ 1,500 ล้านที่กำลังเหม็นโฉ่กับอีกเรื่องที่ยังไม่แพร่งพราย
เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ขณะที่ประเทศกำลังประสบภัยคุกคามจากโควิด-19 มีการเข้มงวดกวดขันป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง กลับปรากฏ “รถยนต์สายตรวจตำรวจ” 2 คัน ถูกบันทึกภาพที่ขณะไปรับ “ต่างด้าว” 5 คน ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อ.แม่สอด จ.ตาก
กล้องวงจรปิดบันทึกภาพรถยนต์ตำรวจ 2 คันนั้นตั้งแต่ด่านห้วยยะอุ ด่านห้วยหินฝน ด่านตรวจท่าเร่ มุ่งเข้า อ.เมืองตาก จนถูกจับได้ว่า ในรถมีต่างด้าว 5 คนเป็นชาวจีน ไม่มีหนังสือเดินทาง
ตำรวจในรถทั้ง 2 คัน นั้นอ้างว่ามาปฏิบัติ “ภารกิจ” ตามนายสั่ง ทั้งยังขอว่าให้เป็นความลับ อย่าแพร่งพรายรายงานให้ผู้ใดทราบ
เรื่องนี้มีตัวละครเกี่ยวข้องมากมาย
สมมุติว่า มีตำรวจด้วยกันประพฤติผิดชนิด “หนามาก” ถ้าถึงขั้นที่เรียกว่า “ก่ออาชญากรรม” ก็ต้องเรียกตำรวจนั้นว่า “อาชญากร”
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ยศต่ำหรือสูงก็ต้องเข้าสู่ “กระบวนการยุติธรรม” อย่างเสมอหน้า
ไม่ใช่ “ใหญ่-ไม่แตะ” แต่ถ้าเล็กขยี้ !!
ตำรวจที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ อาศัยเครื่องแบบ ใช้รถ ใช้หน่วยตำรวจทำมาหากินยังมีอยู่จริง
มีทั้งขนคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีทั้งที่หรี่ตาให้กับขนลำเลียงยาเสพติด ทำลายหลักฐานช่วยเหลือผู้ต้องหาค้ายาเสพติด เรื่องแบบนี้ ถ้ายังไม่รู้ก็ควรทำให้รู้
ที่ยังพร่ามัวก็ขัดให้เงา ที่มืดต้องส่องให้สว่าง ที่ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยต้องสอบสวนให้ “สิ้นกระแสความ”
“นายกรัฐมนตรี” ต้องกล้าหาญและ “ผบ.ตร.” ต้องไม่หลบฉากจึงจะสามารถผดุงความยุติธรรม !?!!