ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง อดีตรองผู้การฯ เพชรบุรี ฟ้อง รองโฆษก ตร. หมิ่นประมาท

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ยกฟ้อง อดีตรองผู้การฯ เพชรบุรี ฟ้อง รองโฆษก ตร. ฐานหมิ่นประมาท ให้ข่าว ว่ายุยงปลุกปั่นเรื่องตัดผมตามระเบียบ

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีดำ อ.94/2563 ที่ พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รอง ผบก.อก.บช.ภ. 9 อดีตรอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 และ 332

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 – 15 มีนาคม 2561โจทก์เคยรับราชการอยู่ในตำแหน่งรอง ผบก.วิทยาลัยการตำรวจ บช.ศ. มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลปกครองข้าราชการตำรวจที่เข้ามารับการอบรมในหลักสูตรผู้กำกับการหลักสูตรสารวัตร หลักสูตรอำนวยการ ขณะเกิดเหตุที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ เป็นรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีหน้าที่ให้ข่าวต่างๆ เกี่ยวกับกิจการตำรวจและนำเสนอเรื่องราวที่สื่อและประชาชนให้ความสนใจข้อ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 เวลากลางวัน หลังจากจำเลยได้ดูได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของโจทก์ว่า ถูกย้ายจากภาค 7 ไปอยู่ภาค 9 จึงจะไปดำเนินคดีกับ ผบ.ตร.ที่กลั่นแกล้งย้ายโจทก์โดยมีเหตุจูงใจโกรธเคือง ว่า โจทก์ไม่ไว้ทรงผมให้ถูกระเบียบ ก็ได้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์จำเลย ถึงกรณีที่โจทก์ถูกย้าย

โดยจำเลยได้ยืนยันข้อเท็จจริงใส่ความโจทก์ ต่อบุคคลที่สามโดยให้สัมภาษณ์ออกสื่อแขนงต่างๆทำนองว่า “ต้องย้อนกลับไปดูว่าตัวเอง (หมายถึงโจทก์) ที่ถูกโยกย้ายไปตัวเอง มีพฤติกรรมอย่างไรไปดูสิ่งที่ผ่านมานั้น มันมีปัญหาอะไร เขาสั่งให้ตัดผมจนมีคำสั่งออกมาเป็นระเบียบการที่โจทก์ไปพูดปลุกปั่น ให้กับนักเรียนที่เข้าอบรมหลักสูตรผู้กำกับที่วิทยาลัยการตำรวจนั้นว่า ไม่ต้องไปตัดผมตามระเบียบมันใช้ได้หรือไม่อย่างไรมีวินัยหรือเปล่าคุณต้องไปดูด้วย..” ซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงคือโจทก์ไม่เคยปลุกปั่นให้นักเรียนที่เข้าอบรมผู้กำกับหรือหลักสูตรใดๆ ที่เข้ามารับการอบรมและอยู่ในความปกครองโจทก์แต่อย่างใด

Advertisement

การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงถูกเพื่อนข้าราชการตำรวจและประชาชน รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่นๆ สื่อมวลชนอีกทั้งเพื่อนนักเรียนนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 62 ที่โจทก์ร่วมศึกษาอยู่ดูหมิ่นเกลียดชัง เสื่อมความนิยมโจทก์เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงภาพลักษณ์ของการเป็นข้าราชการ ถูกมองว่าเป็นคนไม่มีวินัยกระด้างกระเดื่องทำผิดระเบียบอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา

คดีนี้ศาลมีคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 เห็นว่า โจทก์กับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่มีเหตุที่จำเลยจะกล่าวใส่ความโจทก์เพื่อกลั่นแกล้งหรือเพื่อประสงค์การอื่นใด การให้สัมภาษณ์จำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (2) และให้สัมภาษณ์ไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดย ตร. การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท คดีจึงไม่มีมูลตามฟ้องโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้(31 มีนาคม) ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง พิพากษายืนยกฟ้อง ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

Advertisement

ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวตนยังไม่ทราบ เพิ่งจะได้รับทราบข้อมูลจากสื่อมวลชน อย่างไรก็ตามกรณีนี้เป็นดุลพินิจของศาล ตนพร้อมจะดำเนินการทุกอย่างตามที่ศาลมีคำสั่งลงว่า ที่ผ่านมาตนไม่ได้มีความกังวลอะไร เพื่อจากเป็นการปฏิบัติหน้าตามกรอบอำนาจของกฎหมาย ส่วนทางตนจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ ขณะนี้ตนยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่ถึงอย่างไรก็อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย หากจะมีการดำเนินอะไรต่อไปคงจะมีการพิจารณากันอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image