เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 สิงหาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เดินทางมาพร้อมนางประนอม อินตะแสน และพยาน เข้าพบ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอเกี่ยวกับเรื่องขบวนการค้ามนุษย์ในลักษณะเป็นบริษัทจัดหางานที่ประเทศไต้หวัน
นายสงกรานต์กล่าวว่า ได้พานางประนอม เหยื่อที่ถูกหลอกให้ไปทำงานที่ไต้หวันมาพบพนักงานดีเอสไอเพื่อให้ข้อมูล โดยบริษัทจัดหางานดังกล่าวได้หักค่าหัวคิวแรงงานไทยเป็นเงิน 1,500-1,700 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับที่สัญญาระบุ โดยนางประนอมได้รับเงินเดือนเพียง 15,000 บาทเท่านั้น จากเงินเดือนประมาณ 20,000 บาท เนื่องจากถูกหักค่าใช้จ่ายเป็นค่าห้องพัก ค่าดูแล ค่าล่ามแปลภาษา รวมถึงนางประนอมยังถูกลูกชายของเจ้านายกระทำลวนลามอนาจารอีกด้วย เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
นายสงกรานต์กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุนางประนอมได้ร้องเรียนไปยังสายด่วนสำนักแรงงานไทยที่ประเทศไต้หวัน เบอร์โทรศัพท์ 1955 แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา นางประนอมได้โพสต์เฟซบุ๊กมายังแฟนเพจเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อขอให้เข้าไปช่วยเหลือกลับมายังประเทศไทย ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ระหว่างการช่วยเหลือ ได้มีการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์สายด่วน 1955 พบว่าถูกปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ดูแลแรงงานไทยโดยตรง จึงเข้าร้องเรียนให้ดีเอสไอดำเนินการตรวจสอบ อีกทั้งกลุ่มบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาต่อว่าและข่มขู่นางประนอม พร้อมระบุว่ากำลังให้การช่วยเหลือในทางลับ กระทั่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางเจ้าหน้าที่สำนักแรงงานไทยจึงได้เข้าช่วยเหลือทำเรื่องส่งตัวกลับ
นายสงกานต์กล่าวอีกว่า เบื้องต้นทราบกลุ่มผู้ร่วมขบวนการจัดหาแรงงานไทยแล้ว พร้อมจะดำเนินการร้องเรียนให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ดำเนินการตรวจสอบหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ว่าเข้าข่ายในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ โดยการยื่นหนังสือร้องเรียนในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ส่งตัวแทนมารับหนังสื่อร้องเรียนเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อจะตรวจสอบต่อไป
ด้านนางประนอมกล่าวว่า หลังถูกลวนลามได้แจ้งให้ทางสายด่วน 1955 ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ระยะเวลาผ่านไป 3 เดือนก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ พร้อมระบุอีกว่าแรงงานส่วนใหญ่ที่อยู่ประเทศไต้หวัน หวังพึ่งการช่วยเหลือจากองค์กรสำนักแรงงานไทย แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างที่ควรเป็น