เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 31 สิงหาคม ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.639/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ หรือเชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 ประกอบกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 3, 14 (1), 17 (1)
โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 ได้บรรยายความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 บริษัท บี.พี.ซี. เทรดดิ้ง จำกัด (ประเทศกัมพูชา) ได้สั่งซื้อ สินค้าจำพวกปูนซิเมนต์ จากบริษัท ทีพีไอ โพลีน พลับบลิค จำกัด (ประเทศไทย) โดยทำใบสั่งซื้อส่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ในลักษณะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ [email protected] ซึ่งบริษัท ทีพีไอฯ ได้ออกหลักฐานใบสำคัญเก็บเงินค่าสินค้า เป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ชื่อของsaran.im 11 @gmail.com ;[email protected] ;bpcchhoungonline.com.kh; [email protected]” แจ้งให้บริษัท บี.พี.ซี. โอนเงินค่าสินค้าจำนวน 352,781 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,428, 308 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากของบริษัท ทีพีไอ โดยธนาคารทหารไทย จำกัด ต่อมาในช่วงวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2557 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดข้อความจริง โดยเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลในหลักฐานใบสำคัญเก็บเงินค่าสินค้าเสียใหม่ เป็นว่าให้บริษัท บี.พี.ซี. โอนเงินทั้งหมดผ่านเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขารัฐสภา ชื่อบัญชี Thai and Chinese Bhuddist Culturs ซึ่งเป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จนทำให้บริษัท บี.พี.ซี. หลงเชื่อโอนเงินค่าชำระสินค้าจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย โดยที่บัญชีดังกล่าวเป็นของจำเลยกับพวก ต่อมาจำเลยจึงได้โอนเงินดังกล่าวเข้าไปอยู่ในบัญชีของตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่แขวงและเขตดุสิต จำเลยให้การปฏิเสธ
เมื่อถึงเวลานัดฝ่ายจำเลยได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน เนื่องจากเงินที่ตกลงจะชำระให้แก่บริษัทผู้เสียหายนั้น ได้กู้ยืมจากต่างประเทศ อยู่ระหว่างการตรวจสอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยตามขั้นตอน และเมื่อชำระเงินแล้วบริษัทผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์และไม่ติดใจเอาความ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เงินที่จำเลยจะชำระให้แก่บริษัทผู้เสียหาย อยู่ระหว่างการตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาเพื่อนำเงินมาชำระให้บริษัทผู้เสียหาย สอบถามโจทก์แล้วไม่คัดค้าน กรณีมีเหตุจำเป็น จึงให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาไปวันที่ 7 กันยายน 2559 เวลา 09.00 น.
ภายหลัง ร.ต.ท.เชาวรินธร์กล่าวว่า ผู้เสียหายโอนเงินบริจาคให้โครงการที่ดำเนินการอยู่เข้าบัญชีสมาคมวัฒนธรรมวิถีพุทธไทย-จีน ที่ตนเป็นนายกสมาคมอยู่ในขณะนั้น โดยยอดรวมเงินโอนเข้าจำนวน 11 ล้านบาท ต่อมาเขาไม่เต็มใจก็เอาคืนไป แต่ต้องพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวจริง ซึ่งเรื่องนี้เป็นคดีแพ่งไม่ใช่คดีอาญา ทั้งนี้ เบื้องต้นมีการทำบันทึกตกลงกันว่าจะถอนฟ้องหากผู้เสียหายได้เงินคืน และตนคงจะไม่ฟ้องกลับใคร เพราะคิดว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
“เขามาฟ้องฉ้อโกงเพราะโอนเงินผิดบัญชี เมื่อเขาไม่เต็มใจที่บริจาค ผมก็คืนเงินให้เท่านั้นเอง ซึ่งเขายอมลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 5.7 ล้านบาท” ร.ต.ท.เชาวรินธร์ชี้แจง