เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เว็บไซท์ราชกิจจานุเบกษา แพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 7/2559 เรื่อง การกําหนดตําแหน่งของข้าราชการตํารวจซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการสอบสวน ความว่า เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดินและกระบวนการยุติธรรม สมควรปรับปรุงการกําหนดตําแหน่งของข้าราชการตํารวจซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการสอบสวนเสียใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและระบบการบังคับบัญชาของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อันจะส่งผลในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตํารวจในงานการสอบสวน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช2557 หัวหน้า
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกความใน (4) ของมาตรา 44แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(4) วางระเบียบหรือทําคําสั่งเฉพาะเรื่องไว้ให้ข้าราชการตํารวจปฏิบัติการเกี่ยวกับการใช้อํานาจหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่น”
ข้อ 2ให้ยกเลิกความในมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 44 ตําแหน่งข้าราชการตํารวจมีดังต่อไปนี้
(1) ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(2) จเรตํารวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(3) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(4) ผู้บัญชาการ
(5) รองผู้บัญชาการ
(6) ผู้บังคับการ
(7) รองผู้บังคับการ
(8) ผู้กํากับการ
(9) รองผู้กํากับการ
(10) สารวัตร
(11) รองสารวัตร
(12) ผู้บังคับหมู่
(13) รองผู้บังคับหมู่
ก.ตร. จะกําหนดให้มีตําแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น โดยจะให้มีชื่อตําแหน่งใดเทียบกับตําแหน่ง
ตามวรรคหนึ่งก็ได้ โดยให้กําหนดไว้ในกฎ ก.ตร.”
ข้อ 3 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติพ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“การกําหนดจํานวนตําแหน่งข้าราชการตํารวจตั้งแต่ตําแหน่งผู้บังคับการ หรือตําแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการต่าง ๆ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ต.ช. ก่อน”
ข้อ 4 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 46 ให้ข้าราชการตํารวจซึ่งดํารงตําแหน่งตามมาตรา 44 (9) (10) และ (11)
ที่มีอํานาจและหน้าที่ทําการสอบสวนและอยู่ในสายงานสอบสวน ได้รับเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ
ตามระเบียบที่ ก.ตร. กําหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง”
ข้อ5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
ข้อ6 ให้ยกเลิกความใน (6) (7) (8) (9) (10) และ (11) ของมาตรา 51แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(6) ตําแหน่งผู้บังคับการ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจ
ยศพันตํารวจเอกซึ่งได้รับอัตราเงินเดือนพันตํารวจเอก (พิเศษ) หรือพลตํารวจตรี
(7) ตําแหน่งรองผู้บังคับการ ให้แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจยศพันตํารวจเอกหรือพันตํารวจเอก
ซึ่งได้รับอัตราเงินเดือนพันตํารวจเอก (พิเศษ)
(7) ตําแหน่งผู้กํากับการ ให้แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจยศพันตํารวจโทหรือพันตํารวจเอก
(9) ตําแหน่งรองผู้กํากับการ ให้แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจยศพันตํารวจโท
(10) ตําแหน่งสารวัตร ให้แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจยศร้อยตํารวจเอกขึ้นไปแต่ไม่สูงกว่า
พันตํารวจโท
(11) ตําแหน่งรองสารวัตร ให้แต่งตั้งจากข้าราชการตํารวจยศร้อยตํารวจตรีขึ้นไปแต่ไม่สูงกว่า
ร้อยตํารวจเอก”
ข้อ 7 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. 2547และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 72 ในกรณีที่ตําแหน่งข้าราชการตํารวจในส่วนราชการหรือหน่วยงานใดในสํานักงานตํารวจแห่งชาติว่างลง หรือผู้ดํารงตําแหน่งใดไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้สั่งให้ข้าราชการตํารวจซึ่งเห็นสมควรรักษาราชการแทนในตําแหน่งนั้นได้
(1) นายกรัฐมนตรี สําหรับตําแหน่งผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ
(2) ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับตําแหน่งตั้งแต่จเรตํารวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการ
ตํารวจแห่งชาติ หรือตําแหน่งเทียบเท่าลงมา
(4) ผู้บัญชาการหรือตําแหน่งเทียบเท่า สําหรับตําแหน่งตั้งแต่ผู้บังคับการหรือตําแหน่ง
เทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น
(5) ผู้บังคับการหรือตําแหน่งเทียบเท่า สําหรับตําแหน่งตั้งแต่ผู้กํากับการหรือตําแหน่ง
เทียบเท่าลงมาในส่วนราชการนั้น”
ข้อ 8 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. 2547 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา 104 ในการออกจากราชการของข้าราชการตํารวจตําแหน่งตั้งแต่ผู้บังคับการหรือ
ตําแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป หากเป็นกรณีการออกจากราชการตามมาตรา 97 ให้นายกรัฐมนตรีนําความ
กราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ”
ข้อ 9 ตําแหน่งพนักงานสอบสวนตามมาตรา 44 ที่ได้รับการกําหนดไว้ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ.2547 ให้เป็นตําแหน่งตามมาตรา 44 นี้แล้วแต่กรณีในส่วนราชการนั้นของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ผู้ใดดํารงตําแหน่งพนักงานสอบสวนตามมาตรา 44
แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547อยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา 44 แล้วแต่กรณี และให้ผู้ดํารง
ตําแหน่งดังกล่าวยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามอํานาจและหน้าที่เช่นเดิมไปพลางก่อน จนกว่าการดําเนินการ โดยให้ ก.ตร. กําหนดหรือตัดโอนตําแหน่งตามวรรคหนึ่ง จากส่วนราชการหนึ่งไปเพิ่มให้อีกส่วนราชการหนึ่งของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งแต่งตั้ง จะแล้วเสร็จ ข้าราชการตํารวจที่ดํารงตําแหน่งพนักงานสอบสวนนั้น ให้ดํารงตําแหน่งตามมาตรา 44ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ ระหว่างนี้ยังคงได้เงินเพิ่มพิเศษ
ข้อ 10บรรดาบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คําสั่ง หรือมติ ของคณะรัฐมนตรีใด ที่อ้างถึงพนักงานสอบสวนผู้ชํานาญการพิเศษ พนักงานสอบสวนผู้ชํานาญการและพนักงานสอบสวนตามมาตรา 44 (9) (10) และ (11) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ให้ถือว่าอ้างถึงข้าราชการตํารวจซึ่งดํารงตําแหน่งตามมาตรา 44 (9) (10) และ (11)ที่มีอํานาจและหน้าที่ทําการสอบสวนและอยู่ในสายงานสอบสวน แล้วแต่กรณี
ข้อ 11 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 15วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ 5กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ทั้งนี้สรุปคำสั่ง คสช.ที่ 7/2559 ความว่า คำสั่งนี้ใช้บังคับ ตั้งแต่ 20 ก.พ.2559 เป็นต้นไป 2..ยุบตำแหน่ง พนักงานสอบสวน –พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ให้ดำรงตำแหน่ง รอง สว.-ผบก. 3..ตำแหน่งพนักงานสอบสวน –พนักงานสอบสวนผู้เชียวชาญพิเศษ ให้เป็นตำแหน่ง รอง สว.-ผบก. แล้วแต่กรณี4.ผู้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน-พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ให้ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่ง รอง สว.-ผบก. ในสังกัดเดิม และให้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจและหน้าที่เช่นเดิมไปพลางก่อน5..ให้ ก.ตร.กำหนดหรือตัดโอนตำแหน่ง ตามข้อ 3 จากส่วนราชการหนึ่งไปเพิ่มให้อีกส่วนราชการหนึ่งของ ตร และให้ ผบ.ตร. เป็นผู้สั่งแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่ง รอง สว.-ผบก. ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่20 ก.พ. 59เป็นต้นไป และยังคงให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ จนกว่าการดำเนินการแต่งตั้งจะแล้วเสร็จ โดยมีรายงานว่าจะตัดโอนตำแหน่ง ผทค.,ผชช. ไปเป็นตำแหน่ง ผกก.นิติกร, รอง ผบก.นิติกร ประจำ บก.,บช แล้วแต่กรณี 6.ให้ผู้ดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน-พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ได้รับเงินเพิ่ม จนกว่าการแต่งตั้งจะแล้วเสร็จ 7.ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง รอง สว.-รอง ผกก. ที่มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวนและอยู่ในสายงานสอบสวน ได้รับเงินพิเศษ ตามระเบียบที่ ก.ตร. หมายถึง ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง ตำแหน่ง พงส.-พงส.ผนพ.เดิม ยังคงได้รับเงิน ตพส.ต่อไป ตราบใดที่ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนอยู่โดยมีรายงานว่า ทุก สภ./สน/กลุ่มงานสอบสวนฯ จะให้มีเพียง พงส.(รอง สว.) – พงส.ผนพ.(รอง ผกก.) เท่านั้น และให้ พงส.ผนพ.อาวุโส (รอง ผกก.อาวุโส) เป็น หน.งานสอบสวน 8.บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติ ครม. ที่อ้างถึง พงส./พงส.ผนก./พงส.ผนพ. ให้ถือว่า อ้างถึงผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง รอง ผกก. – รอง สว. ที่มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวนและอยู่ในสายงานสอบสวน
มีรายงานว่าคำสั่งนี้เป็นการปรับให้ตำแหน่งพนักงานสอบสวน ที่เคยแยกเป็นตำแหน่งเฉพาะสายงาน มีชื่อเรียกเฉพาะ ปรับเป็นตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งหลัก อาทิ ผู้กำกับการ สารวัตรทำให้ตำแหน่งเหล่านี้สามารถโยกย้ายออกนอกสายงานได้ง่ายขึ้น เช่นออกมาสู่สายงานสืบสวน สายงานปราบปราม สามารถเติบโตในสายงานตำรวจได้สะดวกขึ้น จากเดิมพนักงานสอบสวนเติบโตได้ในสายงานสอบสวนผ่านระบบเลื่อนไหล ประเมินและทดสอบ
ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า วันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้ออกคำสั่งชะลอการแต่งตั้งรองผบก.-สว.วาระ 2558 ออกไปไม่มีกำหนดแล้ว เว้นแต่พนักงานสอบสวนที่ต้องประเมินให้สอดคล้องตามคำสั่งคสช.นี้ สามารถทำได้ทันที