ส.ต้านแชร์ลูกโซ่พาเหยื่อร้องดีเอสไอ ตุ๋นบริจาคการกุศล ได้กำไรงาม สูญ500ล้าน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 กันยายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย นำผู้เสียหายเข้าร้องขอความช่วยเหลือต่อ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ หลังได้รับความเดือดร้อนจากการลงทุนในธุรกิจโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน

นายสามารถกล่าวว่า เมื่อปี 2557 ธุรกิจดังกล่าวใช้วิธีการจัดสัมมนาเชิญชวน โดยอ้างว่าจะให้คนมาร่วมกันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส และผู้ที่มีความเดือดร้อนทางการเงินแล้วจะได้รับผลตอบแทนสูง โดยผู้ที่จะลงทุนจะสามารถลงทุนในรูปแบบการบริจาคเงินผ่านโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นในระบบออนไลน์ ทางโครงการอ้างว่าหลังจากลงทุนในระบบไปแล้วภายใน 18 วันจะได้รับเงินทุนคืนทั้งหมด และทุกวันช่วงระหว่างรอเงินทุนคืนนั้นจะได้รับดอกเบี้ยหรือเงินตอบแทนร้อยละ 3 ต่อวัน

นายสามารถกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการจัดงานสัมมนา โดยมีคนมาร่วมจำนวนมากและทำกิจกรรมบริจาคตามหน่วยงานสถานสงเคราะห์ต่างๆ มีการถ่ายภาพลงในเว็บไซต์และโลกออนไลน์ของโครงการ จึงทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อ ล่าสุดมีผู้หลงเชื่อแล้วทั่วประเทศรวมกว่า 1,500 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท ผู้เสียหายที่เดินทางมาในวันนี้มีผู้ที่ลงทุนมากที่สุดถึง 5 ล้านบาท และน้อยสุด 100,000 บาท

ด้านนางศรีปัญญา บุญญาธิการ หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ร่วมลงทุนกับโครงการดังกล่าวเมื่อปี 2557 มีเพื่อนใน จ.ภูเก็ตมาชักชวนไปร่วมสัมมนาและหลงเชื่อ เนื่องจากเห็นว่ามีคนมาร่วมสัมมนาจำนวนมาก อีกทั้งยังดูรูปแบบแล้วไม่น่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่ เพราะเป็นลักษณะของการบริจาคเพื่อช่วยเหลือสังคม แต่ได้เงินกำไรเป็นผลตอบแทน ช่วงแรกได้รับเงินคืนทั้งในระยะรายวันและเงินทุนทั้งหมด จากนั้นจึงได้ลงทุนต่อ จากทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท กลายเป็น 3 ล้านบาท กระทั่งต่อมาทางโครงการอ้างว่าโปรแกรมที่ใช้บริจาคและจ่ายเงินปันผลต้องปรับปรุงระบบ ไม่สามารถร่วมลงทุนได้ และถูกบ่ายเบี่ยงที่จะคืนเงินให้ตามที่ได้สัญญาไว้

Advertisement

นางศรีปัญญากล่าวต่อว่า ทำให้ตนรู้ตัวว่าถูกหลอก จากนั้นมีคนมาชักชวนให้ร่วมลงทุนในลักษณะดังกล่าวอีก แต่เปลี่ยนชื่อใหม่และยังโฆษณาว่าเป็นคนละบริษัท ระบบมีความเที่ยงตรงกว่า และเป็นของแท้จากผู้ก่อตั้งในประเทศมาเลเซีย ทำให้หลงเชื่อและร่วมลงทุนอีกครั้ง มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท อยากขอให้ดีเอสไอช่วยเหลือและจัดการกับบริษัทดังกล่าว เพราะหลังจากแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ จ.ภูเก็ตก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image