เมื่อเวลา 15.30 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา ที่ปรึกษา (สบ10) โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) พร้อม พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) และ พล.ต.ต.สรไกร พูนเพิ่ม ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร อดีตผู้บังคับการกองทะเบียนพล ร่วมกันแถลงชี้แจงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ คสช. มีคำสั่ง คสช.ที่ 7/2559 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 ปรับตำแหน่งพนักงานสอบสวน
โดย พล.ต.อ.เดชณรงค์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอำนวยความยุติธรรมทางคดีอาญา และการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในสถานีตำรวจ เพื่อสนองความต้องการของประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนให้สามารถรองรับภารกิจต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพงานสอบสวน โดยเฉพาะด้านขวัญกำลังใจของพนักงานสอบสวน หากมีการปรับเข้าสู่ตำแหน่งหลักแล้วการปรับย้ายทางข้าง และการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะทำให้พนักงานสอบสวนสามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับผู้บริหารงานตำรวจที่มีความรอบรู้ หลากหลายมิติในระบบงานตำรวจ เน้นการบูรณาการการทำงาน จนมีความรู้สหวิทยาการ ตรงนี้ถือเป็นวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลสุดท้ายประโยชน์สูงสุดจะตกอยู่กับประชาชน
พล.ต.อ.เดชณรงค์กล่าวต่อว่า ในอดีตรองสารวัตรหนึ่งคน ที่ได้รับการแต่งตั้ง มีชื่อตำแหน่งว่ารองสารวัตรสืบสวนสอบสวน เมื่อเข้าเวรสอบสวน จะรับแจ้งความอรรถคดีต่างๆ จากประชาชน มีการไปดูที่เกิดเหตุ สั่งการให้ตำรวจสายตรวจ และตำรวสจสายสืบไปช่วยกันทำงานในการรวบรวมพยานหลักฐาน ต่อมามีการแยกงานสืบสวน และงานสอบสวนออกจากกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้เกิดความถนัดงานงาน ตรงนี้เป็นวิวัฒนาการสนองต่อความต้องการในการบริหารป้องกันเหตุ หรือ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ต่อมาอีกระยะอยากเห็นความก้าวหน้าในอาชีพของพนักงานสอบสวน จึงให้มีเงินประจำตำแหน่ง แบ่งเป็นพนักงานสอบสวน (สบ1) – (สบ 3) กำหนดให้มีการประเมินเลื่อนตำแหน่ง มีการเลื่อนไหลแทนกันได้ มีการปรับควบตำแหน่งได้ เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงานได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งสถานการณ์ในบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไป การควบคุมบังคับบัญชาไม่หลากหลายสายงาน พนักงานสอบสวนก็สอบสวนอยู่ในมิติเดียว งานสืบสวนอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ไม่บูรณาการการทำงาน การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จึงเปลี่ยนไปสู่ตำแหน่งหลัก รองสารวัตรสอบสวน และสารวัตรสอบสวน มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 18 เหมือนเดิม อำนาจหน้าที่เหมือนเดิม เงินประจำตำแหน่งยังคงได้รับเหมือนเดิม เพียงแต่ชื่อตำแหน่งเปลี่ยนแปลงไป
“ของใหม่คือทั้งสืบและสอบในตัวเอง สารวัตรสอบสวนต้องไปแสวงหาพยานหลักฐาน และทำสำนวนการสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการ ตรงนี้ประชาชนได้ประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญา ณ สถานีตำรวจ ที่สำคัญที่สุดกลุ่มงานสอบสวนสามารถย้ายทางข้างโดยตำแหน่งไม่เสีย อย่างนี้ถือว่าเป็นคุณ ต่อไปนี้ผู้บริหารงานสถานีตำรวจจะต้องเข้าใจงานตำรวจหลากมิติ ต้องรอบรู้ทั้งงานสอบสวน งานสืบสวน งานป้องกันและปราบปราม งานจราจรและงานอำนวยการ ตรงนี้ถือเป็นเสน่ห์ เป็นนายตำรวจที่สามารถบริหารงานสถานีตำรวจอย่างมีคุณภาพ หรือ เป็นสมาร์ทโปลิศ ตรงนี้เป็นลักษณะอันพึงประสงค์ของหัวหน้าหน่วยระดับโรงพัก โดยสรุปแล้ว การปรับเปลี่ยนตำแหน่งพนักงานสอบสวนครั้งนี้ถือว่าเป็นคุณ ตรงนี้ถือเป็นขั้นตอนแรกของการปฏิรูปตำรวจ ทำให้การทำงานสนองตอบความต้องการของประชาชน ทำให้สามารถให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น” โฆษก ตร. กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.สรไกรกล่าวว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งดังกล่าวออกไปก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จึงขอชี้แจงว่าตำแหน่งพนักงานสอบสวนในปัจจุบัน เป็นตำแหน่งที่เลื่อนไหล สามารถปรับเพิ่มได้ในตัวเอง การเจริญเติบโตในหน้าที่การงานด้วยการประเมิน ลักษณะนี้อย่างนี้ทำให้เกิดความลักลั่นกับข้าราชการตำรวจในสายงานอื่นที่อยู่ในสถานีตำรวจเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นงานปราบปราม สืบสวน อำนวยการ และจราจร เนื่องจากสายงานอื่นในการแต่งตั้งโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะต้องพิจารณาทั้งตำแหน่งว่าง และพิจารณาผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ปัญหาจากการกำหนดตำแหน่งลักษณะอย่างนี้ ทำให้การสับเปลี่ยนหมุนเวียนข้าราชการตำรวจในสถานีตำรวจเดียวกันทำได้ยาก เนื่องจากสายอื่นไม่สามารถมาทดแทนตำแหน่งพนักงานสอบสวนได้ จากข้อเท็จจริงทุกครั้งในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจวาระประจำปี พนักงานสอบสวนจะพยายามวิ่งเต้นออกนอกสายงาน แต่ทำได้ยาก เพราะสานงานอื่นไม่สามารถไปทดแทนพนักงานสอบสวนได้
พล.ต.ต.สรไกรกล่าวต่อว่า อีกปัญหาที่พบ คือ ขณะนี้มีพนักงานสอบสวนได้ประเมินเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นจำนวนมากที่ไปดำรงตำแหน่งเดียวกับหัวหน้าสถานีตำรวจ คือ ตำแหน่งพนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ ยศ พ.ต.อ. ทำให้เกิดปัญหาการปกครองบังคับบัญชา การประสานงาน และการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะงานสืบสวนและงานสอบสวนที่จำเป็นต้องปฏิบัติงานร่วมกันในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจะนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี โดยหลักการสถานีตำรวจเป็นหน่วยงานใกล้ชิดประชาชน เป็นหน่วยงานสำคัญทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ผกก.ในฐานะหัวหน้าสถานีตำรวจจะต้องมีเอกภาพ ในการปกครอง บังคับบัญชา และสามรารถสั่งการได้ การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เป็นการปรับตำแหน่งพนักงานสอบสวนให้เป็นตำแหน่งหลัก เดิมทีเรียกตำแหน่งนี้ว่า รองสารวัตรสอบสวนและสารวัตรสอบสวน
“ล่าสุดสื่อมวลชนบางฉบับไปลงข่าวว่าการปรับเปลี่ยนนี้จะไปจำกัดเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง ขอเรียนว่าขณะนี้มีพนักงานสอบสวนยื่นประเมินเพื่อรอการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ได้มีบันทึกสั่งการแล้วว่าภายใน 15 วัน ก่อนที่คำสั่ง คสช.นี้จะมีผลบังคับใช้ ให้พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจกลุ่มนี้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ถือว่าไม่ได้เป็นการกระทบสิทธิกับข้าราชการตำรวจกลุ่มนี้แต่อย่างใด คนกลุ่มนี้ยังทำหน้าที่สอบสวน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็นสารวัตรสอบสวน หรือรองสารวัตรสอบสวน การบริหารงานบุคคลอยู่ภายใต้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งเหมือนเดิม” พล.ต.ต.สรไกรกล่าว
พล.ต.ต.สรไกรกล่าวด้วยว่า ระยะต่อไป ผบ.ตร.มีแนวคิดที่จะกำหนดตำแหน่งระดับผู้บังคับการขึ้นไป เพื่อมาควบคุมกำกับดูแลการป้องกันและปราบปรามกระทำความผิดในลักษณะพิเศษต่างๆ อาจมีตำแหน่งคล้ายกับตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ มารับผิดชอบการค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และ อาชญากรรมข้ามชาติ สำหรับอีกประการหนึ่งที่เป็นข้อห่วงใย เรื่องความเชื่อมั่นในงานสอบสวน ตรงนี้ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบสอบสวนดำเนินคดีหลายระดับ โดยระดับพื้นที่ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับคดีที่มีความสลับซับซ้อนหรือมีกฎหมายเฉพาะ มีหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดูแลการปฏิบัติงาน ส่วนการดูแลการปฏิบัติงานในหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ มีสำนักงานจเรตำรวจ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจเรตำรวจแห่งชาติ จะดูแลในกรณีที่พนักงานสอบสวนถูกโต้แย้งว่าไม่มีประสิทธิภาพ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องเที่ยงธรรม