‘รัชฎา’ ขึ้นศาลไต่สวน คดีฟ้อง ‘ผู้การปปป.-ชัยวัฒน์’ ปัดเสียงแข็ง เรียกรับส่วยกรมอุทยานฯ

“รัชฎา” ขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตฯชี้ช่อง คดีฟ้องผู้การ ปปป.-นายชัยวัฒน์กับพวก ปฏิบัติหน้าที่มิชอบวางแผนล่อลวงให้รับเงิน ก่อนศาลนัดฟังคำสั่ง 30 มี.ค.นี้

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดสอบข้อเท็จจริงโจทก์คดีหมายเลขดำ อท.23/2566 ที่ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ผบก.ปปป.) รวมทั้ง ชุดจับกุมและ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย ต่อ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ ,ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ผิดพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

จากกรณีจำเลยทั้งหมด มีการวางแผนล่อลวงให้รับเงิน และยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบันทึกวิดีโอให้สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง

โดยเมื่อ เวลา 8.20 น. นายรัชฎา พร้อมด้วยทนายความเดินทางมาถึงศาล พร้อมระบุว่า วันนี้ศาลนัดมาไต่สวนฝ่ายโจทก์ หลังจากก่อนหน้านี้ส่งทนายความมายื่นฟ้องให้ดำเนินคดีกับทั้ง 7 คน ตนยืนยันว่า ไม่ได้มีการเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการในสังกัดตามที่ถูกกล่าวหา ตนปฏิเสธมาโดยตลอด

นายรัชฎา กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ถูกตำรวจ และ ชัยวัฒน์เข้าจับในห้องทำงานนั้น คาดว่าเกิดจากการที่นายชัยวัฒน์ไม่พอใจที่ถูกตนเองตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่อง เบิกจ่ายโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 4,200 ไร่ เป็นเงินกว่า 14 ล้านบาทเมื่อปี 2562 และคดียังอยู่ในชั้นของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งใกล้จะหมดอายุความในวันที่ 29 มีนาคม 2566

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีที่ศาลนัดสอบข้อเท็จจริงโจทก์ในวันนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่งเผ็นวันนัดฟังคำสั่งชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้อง และชี้ช่องในประเด็นดังนี้

1.1 เนื่องจากโจทก์มีคำขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 79 ซึ่งเป็นเพียงบทกำหนดโทษ แต่ในคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดเจนถึงพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 7 กระทำการใดอันเป็นความผิดตามมาตราใดที่จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 79 ทั้งบทกำหนดโทษตามมาตรา 79 ดังกล่าวเป็นบทกำหนดโทษของ ‘ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล’ ที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ.นี้ ดังนั้นโจทก์ต้องบรรยายให้ชัดเจนว่าจำเลยทั้ง 7 เป็น ‘ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล’ ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใด อย่างไร และมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.นี้อย่างไร และสิ่งใดที่ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.นี้อย่างไร และจำเลยทั้ง 7 กระทำการอย่างใดอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ที่จะทำให้จำเลยทั้ง 7 ต้องรับผิดตามมาตรา 79 แห่ง พ.ร.บ.นี้

1.2 เนื่องจากโจทก์มีคำขอให้ลงโทษตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 25, 28 และ 33 โดยโจทก์แถลงว่าเป็นเพียงการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ประสงค์ขอให้ลงโทษ จึงให้แก้ไขคำขอท้ายฟ้องโดยตัดข้อความเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ 2560 ออก

Advertisement

2. ให้โจทก์มาแถลงข้อเท็จจริงและชี้ช่องพยานหลักฐานด้วยตนเองในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เวลา 09.30 น. ในประเด็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 164, 179, 200, 210, 310, 364 และ 365 เกี่ยวกับพฤติการณ์ทั้งก่อนและหลังจากที่โจทก์ถูกจับกุมเพิ่มเติม เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้รู้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยตนเอง

3. ศาลจะมีหนังสือไปถึง ‘กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ พร้อมแนบสำเนาบันทึกการจับกุม รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เพื่อให้ชี้แจงข้อมูลและจัดส่งเอกสาร

3.1 มูลเหตุและรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ทั้งก่อนและในขณะเข้าตรวจค้นและจับกุม รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตามสำเนาบันทึกการจับกุม

3.2 การตรวจค้นและจับกุมรัชฎา ตามข้อ 3.1 กระทำโดยมีหมายค้นและหมายจับหรือไม่ อย่างไร

3.3 มีการบันทึกภาพและเสียงขณะตรวจค้นและจับกุมรัชฎาหรือไม่ หากมี ได้มีการเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ และผู้ใดเป็นผู้เผยแพร่ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 29 ความลับ ข้อ 1 หรือไม่ อย่างไร

4. นอกจากการจับกุม รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา พร้อมยึดของกลางเป็นเงินสด 98,000 บาท ตามสำเนาบันทึกการจับกุมที่แนบมาพร้อมนี้ ได้ตรวจยึดของกลางอื่นๆ จากโจทก์ในวันดังกล่าวได้อีกหรือไม่ อย่างไร

และกำหนดนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 30 มีนาคม เวลา 09.30 น.

ต่อมาเมื่อเวลา 11.21 น. นายรัชฎา พร้อมด้วยทนายความลงมาจากห้องพิจารณาคดีของศาล แล้วได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ศาลถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของการยื่นฟ้อง เช่นความสัมพันธ์เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ทั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางนายชัยวัฒน์ และรายละเอียดเหตุการณ์ ก่อนเกิดเหตุระหว่างเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ

สำหรับตนและนายชัยวัฒน์รู้จักกันมากว่า 10 กว่าปีสมัยที่นายชัยวัฒน์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งหนึ่ง สำหรับเรื่องความขัดแย้งไม่มี มีเพียงการที่ตนตั้งคณะกรรมการสอบการละเมิดของนายชัยวัฒน์เรื่องการทุจริตปลูกป่า การละเมิดที่เกิดตนและกรมเป็นผู้เสียหายเป็นผู้ฟ้อง มีการสั่งตั้งกรรมการสอบ นายชัยวัฒน์ ซึ่งในเรื่องนี้ตนก็ถูกร้องเรียนว่าตั้งกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ในข้อเท็จจริงคดีใกล้จะหมดอายุความครบ 10 ปีในวันที่ 29 มี.ค. 2566 ถ้าถึงวันนั้นคดีนี้จะไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งถ้าผลสรุปเป็นเช่นนั้น ถ้าตนไม่ตั้งคณะกรรมการสอบตนก็จะถูกตั้งข้อหาอาญามาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และต้องชดใช้แทนนายชัยวัฒน์

ที่ผ่านมาเรื่องทางวินัยของนายชัยวัฒน์ทางกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีการเรียกสอบมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี ทางกรรมการข้อเท็จจริงมีการชี้มูลว่าผิดวินัยร้ายแรง ส่วนเรื่องทางอาญา กรรมการสอบกรณีละเมิดได้เสนอว่าให้กรมอุทยานแจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายชัยวัฒน์แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไร

ผู้สื่อข่าวถามกรณีเงินที่พบในที่เกิดเหตุ นายรัชฎา กล่าวว่าส่วนหนึ่งที่พบเป็นเงินส่วนตัว บรรยากาศวันนั้น อยู่ดีๆเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้องขอตรวจ ตนเองจึงเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกรเข้ามา เพราะ ในเรื่องกฎหมายตนไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนตัวยังไม่ได้ตรวจดูซองเงินที่มีการระบุชื่อไว้ที่ด้านหน้าเพราะตั้งแต่เช้ามีกิจกรรมทำบุญ แต่สำหรับซองพวกดังกล่าวตนยอมรับว่ามีผู้นำเข้ามาให้ เพื่อเช่าพระพุทธรูปและมีมาร่วมทำบุญโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการมาหลายปี ในโครงการนี้ภาคเอกชน ร่วมบริจาคมาแล้ว กว่า 6 ล้านบาท เงินส่วนนี้เป็นการขอระดมให้ทุกคนสนับสนุน เพราะตามหลักโครงการนี้มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30 ล้านบาท โครงการนี้คือค่าเลี้ยงดู ค่าอาหารของสัตว์ที่เป็นของกลางที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาได้

ในส่วนของการรับเงิน นายรัชฎา กล่าวยืนยันว่าเป็นเรื่องปกติของข้าราชการที่จะต้องผ่านผู้บังคับบัญชาเป็นคนดูแลไม่มีในส่วนของค่าน้ำร้อนหรือค่าน้ำชา ส่วนที่นายชัยวัฒน์โต้แย้งว่าการสร้างพระพุทธรูปหรือเช่าพระพุทธรูปเสร็จสิ้นไปนานแล้ว ตนขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงยังมีพระที่ยังไม่ได้เช่าอีกร้อยกว่าองค์

“ทั้งนี้การที่เดินทางมายื่นฟ้องเป็นการเรียกความยุติธรรมให้กับตัวเอง เรื่องนี้ต้องขอคืนภาพลักษณ์เพราะสิ่งที่เกิดเป็นการใส่ความ เรื่องที่นายชัยวัฒน์นำไปแจ้งความอยากถามกลับว่าตำรวจได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าเป็นเงินส่วนใด” นายรัชฎา กล่าว

อย่างไรก็ตามตนอยากให้ได้ดูคลิปเสียง วันที่มีการบุกจับกุม ที่ถูกลบออกไปในระหว่างคลิปเสียงนั้นตนได้ปฏิเสธตลอดว่าไม่มี ไม่เอา ให้เอาไปไม่ต้อง ในวันนั้นตนดูใบแจ้งความและคิดเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้

ในระหว่างนี้ตนยังไม่ได้ไปชี้แจง กับป.ป.ช.เนื่องจากยังไม่มีการเรียกตัวแต่ก็ พร้อมที่จะไป ขอยืนยันว่าทางตนไม่เคยมีการห้ามเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปให้การกับตำรวจ แต่มีข้อมูลว่าฝ่ายของคนที่อยู่จ.อุบลราชธานีมีการข่มขู่และสั่งเจ้าหน้าที่คนอื่นให้การตามที่ต้องการ

ด้าน นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความ กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้รัชฎาไม่มีการออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่กระบวนการเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอามาเปิดเผยได้ ขอให้ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และทุกข้อหาทางนายรัชฎามีหลักฐานโต้แย้งกลับทั้งหมด โดยเฉพาะอยากให้ไปดูคลิปเสียงขณะที่มีการพูดคุยระหว่างนายรัชฎา และผู้ถือซองเงินก่อนการจับกุม ว่ามีการพูดคุยอะไรกัน จะเป็นหลักฐานที่ตอบสังคมได้ดีที่สุด ว่าเป็นการเรียกรับ หรือไม่เรียกรับ หรือเป็นการเสนอให้ แล้วนายรัชฎาปฏิเสธทั้งหมด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image