รวบชาวอุซเบกิสถาน ลวงเพื่อนร่วมชาติค้ากามพัทยา พบทำเป็นขบวนการ แต่ให้การปฏิเสธ

ตำรวจสอบสวนกลางรวบชาวอุซเบกิสถาน ลวงสาวร่วมชาติค้ากามพัทยา

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์, พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม., พ.ต.อ.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ ผกก.2 บก.ปคม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปคม.

สืบเนื่องจากวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา มูลนิธิไนท์ไลท์และองค์กรโอยูอาร์พา น.ส.เค (นามสมมุติ) ชาวอุซเบกิสถาน อายุ 19 ปี มาแจ้งความร้องทุกข์ว่า ถูกกลุ่มคนร้ายหลอกให้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาค้าประเวณีที่พื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 โดยถูกบังคับให้ค้าประเวณีจำนวนหลายครั้งแต่ไม่เคยได้รับเงินค้าบริการ และถูกผู้ต้องหาทำร้ายร่างกาย จึงได้หลบหนีออกมาขอความช่วยเหลือต่อสถานทูตอุซเบกิสถาน สถานทูตได้ประสานให้มูลนิธิเข้าช่วยเหลือและเยียวยาจิตใจของผู้เสียหาย จากนั้นมูลนิธิจึงพามาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

Advertisement

จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.เค (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ 1 ในคดีนี้ ได้ถูก น.ส.ดิโลรมคน (Ms.Diloromkhon) ซึ่งเป็นคนรู้จักและเป็นเพื่อนกับผู้เสียหาย โดยรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ได้ชวนให้ผู้เสียหายมาทำงานที่ประเทศไทย โดยอ้างว่ามีงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กของร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี มีรายได้ดี มีที่พักให้ ซึ่งจะออกค่าเดินทางและค่าทำวีซ่าในการเดินทางให้กับผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้เดินทางมาประเทศไทย เนื่องจากต้องการหาเงินไปเป็นค่ารักษามารดาที่ป่วยและใช้ในการแต่งงาน โดยคิดว่าจะมาทำงานที่ประเทศไทยประมาณ 3 เดือน

ผู้เสียหายเข้าใจว่าได้รับวีซ่าการทำงานถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 พร้อมกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งถูกหลอกให้มาค้าประเวณีด้วยเช่นกัน โดยมี น.ส.ดิโลรมคนมารับที่สนามบินสุวรรณภูมิ พาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เมืองพัทยา

ต่อมา ได้พบกับ นางแซมรัต (Ms.Zumrat) อายุประมาณ 42 ปี ชาวอุซเบกิสถาน ซึ่งเป็นหัวหน้างานที่นี่ ได้บังคับให้ทำงานค้าประเวณี โดยให้ยืนหาลูกค้าที่บริเวณริมชายหาดพัทยา ใกล้กับวอล์กกิ้งสตรีทและขายบริการทางเพศให้กับลูกค้าที่นางแซมรัตและ นายนารูส (Mr.Navruzbek) เป็นผู้ติดต่อหามา โดยนางแซมรัตจะเป็นนายหน้าติดต่อชักชวนนักท่องเที่ยวในบริเวณนั้นซื้อบริการกับเด็กของตน โดยเป็นผู้เก็บเงินและต่อรองราคากับลูกค้า

Advertisement

ส่วนนายนารูสจะตระเวนหาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงและร้านอาหารในบริเวณดังกล่าว เมื่อได้ลูกค้าก็จะไปเปิดโรงแรมเพื่อให้บริการทางเพศแก่ลูกค้าในราคา 3,000-5,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งนางแซมรัตข่มขู่และพูดจาโน้มน้าวให้ผู้เสียหายยอมทำงานขายบริการให้ โดยอ้างว่าผู้เสียหายเป็นหนี้ค่าเดินทาง ค่าจัดทำวีซ่า คนละ 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 175,000 บาท) โดยนางสาวดิโลรมคนได้ค่าหัวที่หาเด็กมาให้นางแซมรัตคนละ 1,000 ดอลลาร์

หากผู้หญิงคนไหนไม่เชื่อฟัง หรือทำตามที่นางแซมรัตบอกจะถูกทำร้ายร่างกาย กักขัง และไม่ให้อาหาร

ผู้เสียหายทั้งสองคนจึงจำยอมทำงานค้าบริการทางเพศให้กับนางแซมรัต โดยถูกบังคับให้ทำงานขายบริการไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งต่อวัน โดยผู้เสียหายต้องมายืนรอรับแขกที่บริเวณริมชายหาดตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง 6 โมงเช้า ถ้าหาลูกค้าไม่ได้ตามยอดดังกล่าวก็จะไม่นำอาหารมาให้รับประทาน โดยทุกวันจะได้รับอาหารเพียงวันละ 1 มื้อเท่านั้น

ระหว่างทำงานกับนางแซมรัต น.ส.เคเคยมีปากเสียงกับนางแซมรัตเนื่องจากปฏิเสธไม่รับงาน จึงถูกนางแซมรัตทำร้ายร่างกายโดยการตบหน้าและผลักให้ล้มจนได้รับบาดเจ็บเป็นบาดแผลเล็กน้อย นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังเคยเห็นผู้หญิงคนอื่นที่ขัดขืนไม่ยอมทำงานขายบริการถูกนางแซมรัตทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จึงเกิดความกลัวนางแซมรัต ประกอบกับผู้เสียหายไม่มีเงินติดตัว และไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ จึงไม่กล้าจะหลบหนีออกมา ซึ่งนางแซมรัตจะมีลูกน้องเป็นหญิงชาวอุซเบกิสถาน 2-4 คน ทำหน้าที่คอยควบคุมไม่ให้ผู้เสียหายหลบหนีด้วย

ผู้เสียหายที่ 1 ทำงานอยู่กับนางแซมรัตถึงประมาณวันที่ 10 มิถุนายน 2566 จนคาดว่าน่าจะได้เงินตามจำนวนที่เป็นหนี้แล้ว จึงขอเบิกเงินและขอเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากเป็นห่วงแม่ที่กำลังป่วย แต่นางแซมรัตปฏิเสธ ไม่ยอมให้เดินทางกลับ แจ้งว่าเพิ่งหักหนี้ได้แค่ 2,000 ดอลลาร์ ยังคงเป็นหนี้อยู่อีก 3,000 ดอลลาร์ ประกอบกับ นางแซมรัตแจ้งพนักงานทุกคนว่าให้เตรียมเอกสารเพื่อเดินทางไปขายบริการทางเพศที่ประเทศบาห์เรน เนื่องจากจะมีรายได้สูงกว่า และในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 นางสาวแซมรัตเริ่มพาหญิงสาวคนอื่นไปที่ประเทศบาห์เรน น.ส.เคจึงตัดสินใจหลบหนีออกมา โดยได้รับความช่วยเหลือจาก นางเอ็น ผู้เสียหายที่ 3 ให้เงินค่าแท็กซี่เพื่อหลบหนีออกมา

เมื่อได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปคม.ลงพื้นที่สืบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง พบข้อมูลสอดคล้องตามคำให้การของผู้เสียหาย จึงสืบสวนพร้อมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย และติดตามช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหายอื่นที่ถูกหลอกมาขายบริการ เบื้องต้นพบผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก 2 คน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เมืองพัทยาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ประกอบด้วย นางเอ็น อายุ 42 ปี ชาวอุซเบกิสถาน ซึ่งถูกเพื่อนชื่อ มาดาเดส หลอกให้มาทำงานแม่บ้านของโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทยา ได้เงินเดือนเดือนละ 700 ดอลลาร์ (ประมาณ 24,500 บาท) มีที่พักฟรี โดยออกค่าเดินทางให้ก่อน และให้ผ่อนใช้หลังจากได้เงินเดือนแล้ว จึงได้เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่เดือน เมษายน 2566 และได้พบกับนางแซมรัตและนายนารูสได้บังคับให้ขายบริการเช่นกัน

น.ส.เอ อายุ 31 ปี ชาวอุซเบกิสถาน ได้ถูกเพื่อนชื่อ มาฟูซา หลอกให้มาทำงานเป็นเซฟที่พัทยา โดยให้ติดต่อเดินทางมาประเทศไทยกับนายนารูส ซึ่งนายนารูสเป็นผู้ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ โดยได้เดินทางมาพร้อมกับ ผู้เสียหายที่ 1 โดยมี น.ส.ดิโลรมคนมารับที่สนามบินสุวรรณภูมิ และถูกนางแซมรัตบังคับให้ทำงานขายบริการทางเพศ เช่นเดียวกับผู้เสียหายที่ 1 จึงได้เข้าช่วยเหลือ และสอบสวนปากคำร่วมกับทีมสหวิชาชีพ จนกระทั่งพบว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จึงประสาน พม. มูลนิธีไนท์ไลท์ และองค์กรโอยูอาร์รับตัวไว้ช่วยเหลือคุ้มครองในฐานะผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์

จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า นางแซมรัต เดินทางออกนอกประเทศไปแล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 โดยได้เดินทางประเทศบาห์เรน ส่วน น.ส.ดิโลรมคน ผู้ต้องหาที่ 2 ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยแล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 โดยได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย ส่วน นายนารูส ยังไม่พบข้อมูลการเดินทางออกนอกประเทศ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ ผู้ต้องทั้งสามคนในข้อหา
“สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ และผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดคนหนึ่งคนใดลงมือกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ตามที่ได้สมคบกัน, ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์, ร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์, ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามและไม่ว่าการกระทำต่างๆ อันประกอบด้วยความผิดนั้นจะได้กระทำภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือข่มขืนใจด้วยประการใดๆ และร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด และร่วมกันบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือใช้อำนาจครอบงำผู้อื่นหรือรับผู้อื่นเข้าทำงานเพื่อการค้าประเวณี” อันเป็นความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6, 9, 10, 52, พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่3) พ.ศ.2560

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปคม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.2 ได้สืบสวนพบว่า นายนารูส กำลังจะหลบหนีออกนอกประเทศ จึงสามารถติดตามจับกุมตัวได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยให้การว่าผู้ต้องหาเพียงรู้จักกับนางแซมรัตเนื่องจากมีภูมิลำเนาอยู่หมู่บ้านเดียวกันและเป็นเพื่อนกับน้องชายของผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 1 ชักชวนตนเองมาพักอาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าในโรงแรม โดยทราบพฤติการณ์ว่าผู้ต้องหาที่ 1 เป็นนายหน้าเป็นธุระจัดหาให้มีการค้าประเวณีจริง แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือได้รับประโยชน์ใดๆ จากหญิงขายบริการ

กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) จะได้สืบสวนขยายผลกลุ่มขบวนการดังกล่าวต่อไป และประสานงานระหว่างประเทศเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วมาดำเนินคดีต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image