แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็น ตร.ปราบคดีฟอกเงิน หลอกสาวโอนเงินสูญ 1.5 ล้าน
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นางมณฑา มาหะวิสุทธิ์ อายุ 59 ปี ชาวบ้าน ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.ณัฐพัชร์ วิริยาลัย สว. (สอบสวน) สภ.เมืองนนทบุรี ให้ดำเนินคดีกับคนร้ายไม่ทราบเป็นใคร ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ โดยแจ้งว่าคนร้ายได้โทรศัพท์หาอ้างว่าเจ้าหน้าที่ปราบปรามการฟอกเงิน สามารถจับตัวผู้ต้องหาฟอกเงินได้ และให้การซัดทอดว่าได้ซื้อบัญชีชื่อของตนมาในราคา 15,000 บาท และตนมีส่วนพัวพันคดีการฟอกเงิน ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินของตน โดยให้โอนเงินที่มีอยู่มาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ
นางมณฑาได้หลงเชื่อ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 14.47 น. ครั้งแรกโอนเงินจํานวน 700,000 บาท, ครั้งที่ 2 โอนไปจำนวน 800,000 บาท และครั้งสุดท้าย 40,000 บาท จากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย ไปเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,540,000 บาท ตนจำหมายเลขบัญชีของคนร้ายไม่ได้หลังโอนเงินเสร็จคนร้ายพยายามใช้กลอุบายที่จะเอาเงินจากผู้แจ้งอีก ตนรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
นางมณฑากล่าวว่า มีชายอ้างว่าเป็นตำรวจ สภ.มุกดาหาร โทรมาว่าจับคนร้ายคดีฟอกเงิน เขาซัดทอดว่าซื้อบัญชีมาจากตน 15,000 บาท และมีการแบ่งเงินให้ตนอีก 10% คนที่อ้างว่าเป็นตำรวจได้บอกว่าถ้าพี่บริสุทธิ์ใจไม่เกี่ยวข้องมีบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดเท่าไรให้ไปโอนเข้าธนาคารกรุงไทย เพื่อให้ ปปง.ตรวจสอบก่อน ก็เลยไปโอนเข้าไป และเขาบอกว่าถ้าไปโอนที่ธนาคารกสิกรไทยเสร็จให้บอกเจ้าหน้าที่ธนาคารให้เขาทำ ทำแอพพลิเคชั่นจ่ายปกติให้ด้วย แล้วกลับไปบ้านจะบอกให้ทำตามว่ากดเข้าบัญชีอะไรแบบไหน สรุปแล้วโอนไป 3 ครั้ง 700,000 บาท, 800,000 บาท และ 40,000 บาท คนที่โทรมาหาไม่เคยรู้จักมาก่อน บอกว่าชื่อ พ.ต.ท.ฉัตรมงคล บุญกลาง ที่โทรมาบอกว่าตนไปพัวพันกับบัญชีม้าในการฟอกเงิน
หลังแจ้งความตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ตำรวจได้โทรศัพท์ไปที่ธนาคารกรุงไทยอายัดบัญชีไว้แล้ว ที่โอนไป 3 ครั้งมีธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ปกติเป็นแม่บ้าน เงินที่โอนไปหมดเกลี้ยงเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของชีวิต
น.ส.กัญณา เฉยเจริญ อายุ 57 ปี น้องสาว กล่าวว่า มีบัญชีหนึ่งที่เป็นชื่อของพี่สาว ซึ่งเป็นมรดกของแม่ แต่เมื่อแม่เสียชีวิตไปแล้วพี่สาวเป็นคนจัดการมรดกได้แบ่งให้พี่น้องทั้ง 5 คน โดยที่ตนเอาเงินสดแบ่งให้พี่น้อง ตนเห็นว่าเป็นบัญชีเงินฝากพิเศษออมทรัพย์ ซึ่งดอกเบี้ยสูงก็เลยคงเก็บเอาไว้ แต่ยังคงใช้ชื่อบัญชีของนางมณฑา พี่สาวอยู่
“แต่พอพี่สาวมาคุยกับมิจฉาชีพทางออนไลน์ เขาไปแจ้งความว่า สมุดบัญชีหายทั้งๆ ที่สมุดบัญชีอยู่กับตนดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะดี แต่ไม่รู้เหตุผลกลใดจึงไปเชื่อมิจฉาชีพทุกอย่าง พี่สาวไปแจ้งความสมุดหาย และถอนเงินออกมา 800,000 บาท โอนเงินสดไปให้กลุ่มมิจฉาชีพนี้ โดยไม่ปรึกษาหนูเลยที่เป็นเจ้าของเงินในบัญชีนี้ แค่บัญชีเป็นชื่อของเขาเท่านั้นเอง กลับไปเชื่อมิจฉาชีพ ทั้งหมดเลยรวม 1,540,000 บาท”