‘หลวงพี่แป๊ะ’รอด อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีรถหรูสมเด็จช่วง เหตุหลักฐานไม่ถึง ส่วน6ผู้ต้องหาสั่งฟ้อง

เมื่อเวลา 16.20 น.วันที่ 12 มกราคม ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการสั่งคดีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวหาพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว (ธนกิจ ศรีอุ่นเรือน) เลขานุการสมเด็จช่วง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ กับพวกเอกชนอู่ประกอบรถยนต์ รวม 7 คน กรณีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร เป็นรถที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า วันนี้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษมีความเห็นสั่งฟ้องนายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถยนต์ ผู้ต้องหาที่ 1, หจก.ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ที่ 2, นายวสุ ที่ 3 ในฐานะส่วนตัว ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรู้ว่าเป็นของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ, ใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 และ 27 ทวิ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

เรือโทสมนึกกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ได้สั่งฟ้องนายเกษมศักดิ์ หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) นำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่เกิดจากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 และ 27 ทวิ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

เรือโทสมนึกกล่าวอีกว่า ส่วนเมธีนันท์ หรือชลัช นิติฐิติวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 5 สั่งฟ้องด้วยข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่จดข้อความอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91 กับสั่งฟ้องนายสมนึก บุญประไพ ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

เรือโทสมนึกกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วงและผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาที่ 7 รับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่านายวิชาญเสียภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้อง และสั่งยุติการดำเนินคดีกับนายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4, นายเมธีนันท์ ผู้ต้องหาที่ 5 และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เนื่องจากคดีขาดอายุความ และให้ยุติการดำเนินคดีกับพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 (1) กรณีครอบครองรถโบราณช่วงแรก เนื่องจากคดีขาดอายุความ

Advertisement

เรือโทสมนึกกล่าวว่า หลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งดังกล่าวแล้วก็ได้นำตัวนายเมธีนันท์ และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 5-6 ซึ่งได้รับการประกันตัวและมารายงานตัวต่ออัยการในวันนี้ ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลย พร้อมกับนายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่อศาลอาญาแล้ว โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำ อ.83/2560 ส่วนนายพิชัย ผู้ต้องหาที่ 1, หจก.ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ ผู้ต้องหาที่ 2 และนายวสุ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขอเลื่อนนัดการส่งตัวฟ้อง เนื่องจากยังจัดหาหลักทรัพย์ที่จะใช้ยื่นประกันตัวในชั้นศาล และยังจัดหาทนายได้ไม่พร้อม พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ได้นัดผู้ต้องหาที่ 1-3 มาเพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลอาญาอีกครั้งในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยังกล่าวถึงคดีในส่วนของหลวงพี่แป๊ะว่า แม้ขณะนี้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องพระศาสนมุนี ผู้ต้องหาที่ 7 แต่ตามขั้นตอนจะต้องส่งสำนวนและความเห็นสั่งไม่ฟ้องนี้ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณาทำความเห็นว่าจะเห็นแย้งกับคำสั่งคดีของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องนี้หรือไม่ หากดีเอสไอยืนยันความเห็นให้ฟ้องจะต้องส่งสำนวนกลับมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำฟ้องที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ยื่นฟ้องนายเกษมศักดิ์ หรืออ๊อด ภวังคนันท์ อายุ 70 ปี หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ, นายเมธีนันท์ หรือชลัส นิติฐิติวงษ์ อายุ 46 ปี ผู้ดำเนินการนำเอกสารชุดประกอบรถยนต์ไปชำระภาษีสรรพสามิต และนายสมนึก บุญประไพ อายุ 46 ปี ผู้นำเอกสารรถยนต์ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบก เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 267 และ 268 นั้น ระบุพฤติการณ์สรุปว่า

Advertisement

ระหว่างเดือนตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2554 คนร้ายร่วมกันลักลอบนำโครงรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 พร้อมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 245,115 บาท เป็นของที่ผลิตในต่างประเทศที่ยังไม่ได้เสียภาษี และยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งต้องเสียภาษีรวมเป็นเงิน 392,133 บาท โดยหลังจากที่มีผู้ลักลอบนำของหนีภาษีดังกล่าวเข้ามาแล้ว จำเลยที่ 1 กับพวก ร่วมกันครอบครองสิ่งของดังกล่าวไว้โดยผิดกฎหมาย กระทั่งวันที่ 7 มีนาคม 2559 พนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 บี เปิดประทุน หมายเลขตัวรถ 18601400420/53 หมายเลขทะเบียน งค 1560 กรุงเทพมหานคร ได้จำนวน 1 คัน รถดังกล่าวเกิดจากการนำโครงรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 และชิ้นส่วน 1 ชุด มาประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวก เป็นผู้ลักลอบนำชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าวที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษีเข้ามาโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีรวมจำนวน 392,133 บาท โดยระหว่างนั้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 จำเลยทั้งสามยังร่วมกันปลอมเอกสารรวม 17 ฉบับ เพื่อไปดำเนินการจดทะเบียนและโอนรถยนต์ รวมทั้งการจัดทำหนังสือยินยอมซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมในการเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนรถด้วย

อีกทั้งยังร่วมกันแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิตในแบบแจ้งราคาขายจำนวน 570,000 บาท ทั้งที่ความจริงรถยนต์นั้นราคาขาย 4 ล้านบาท เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิตให้ต่ำกว่าความเป็นจริงที่จะต้องเสียเป็นมูลค่า 1.6 ล้านบาท โดยมีการชำระภาษีสรรพสามิตเพียงจำนวน 250,800 บาท และระหว่างวันที่ 18-26 สิงหาคม 2554 จำเลยทั้งสามยังร่วมกันแจ้งเจ้าพนักงาน สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 กรมการขนส่งทางบก จดข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบคำขอจดทะเบียนรถอีกด้วย โดยระบุว่า รถยนต์คันดังกล่าวมีการประกอบรถจากโครงรถ, ชิ้นส่วนอุปกรณ์ และเครื่องยนต์เก่าที่มีการนำเข้ามาโดยถูกต้องตามกฎหมาย แล้วมีการซื้อกันต่อมาโดยถูกต้อง โดยนางกาญจนา มากเหมือน เป็นผู้ซื้อมาคนสุดท้าย และเป็นผู้ประกอบรถยนต์ดังกล่าว แล้วโอนขายให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร ป.ธ.9) โดยมีบริษัท ช.ธนพลวิศวะกิจ จำกัด ยินยอมให้ใช้หมายเลขทะเบียน ทั้งที่ความจริงไม่มีการนำเข้าโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนางกาญจนาและ บจก.ช.ธนพลวิศวะกิจไม่ได้มอบอำนาจให้จดทะเบียน รวมทั้งโอนขายรถยนต์ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร, แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ชั้นสอบสวนนายเกษมศักดิ์และนายเมธีนันท์ จำเลยที่ 1-2 ให้การปฏิเสธ ส่วนนายสมนึก จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาปลอมเอกสาร

ท้ายฟ้องอัยการระบุว่า หากจำเลยทั้งสามขอปล่อยชั่วคราวให้อยู่ในดุลพินิจของศาล และอัยการยังขอให้ศาลสั่งริบของกลางที่เป็นชิ้นส่วนประกอบรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 จำนวน 1 ชุด และเครื่องยนต์ 1 เครื่อง ที่ประกอบเป็นรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 บี เปิดประทุน กับโครงรถยนต์อีก 1 โครง

โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.83/2560 ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 13 มกราคม เวลา 09.00 น.

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image