ทนายด่างเผย ศาลอาญาใต้เลื่อนไต่สวน บุ้ง-หยกละเมิดอำนาจศาล เป็น 22 ม.ค.ปีหน้า ส่วนฟังคำสั่งถอนประกันบุ้ง-ตะวันคดี 112 เลื่อนเป็น 26 ม.ค.ชี้ความเห็นส่วนตัวพฤติการณ์คดีไม่เข้าความผิด เเละศาลผู้ใหญ่ไม่มีอำนาจพิจารณาคดีในส่วนเยาวชน
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดฟังคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” และ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ “ตะวัน” แกนนำกลุ่มทะลุวัง จำเลยในคดีมาตรา 112 จากกรณีจำเลยได้ทำโพลล์สำรวจความเห็นเรื่องขบวนเสด็จเมื่อปี 2565 ซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยทั้งสองได้รับการปล่อยชั่วคราว แต่ได้กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวของศาล จากการชุมนุมขับไล่นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สมาชิกวุฒิสภา บริเวณด้านหน้ากระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาทำให้ทางพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งสอง
ซึ่งวันนี้ น.ส.ตะวันเดินทางมาพร้อมกับกลุ่มคนที่มาให้กำลังใจ ล้วนแต่งกายด้วยชุดธีมเทศกาลคริสต์มาส ต่างมีสีหน้าสดใส
ขณะที่มีรายงานข่าวว่า น.ส.เนติพร ซึ่งมีนัดไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลจากกรณีวิวาทกับตำรวจศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา อีก1คดี มีอาการป่วย เนื่องจากปวดท้องท้องเสีย จึงไม่สามารถเดินทางมาฟังคำสั่งศาลได้ในวันนี้
โดยก่อนจะขึ้นฟังคำสั่ง น.ส.ทานตะวันกล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีความกังวลใจอะไรเลย ถ้าศาลมีคำสั่งถอนประกันตนก็แค่เปลี่ยนที่ต่อสู้จากข้างนอกเป็นข้างในเรือนจำ แต่หากศาลสั่งไม่ถอนประกันตัว ตนก็ต่อสู้คดีอยู่ข้างนอกต่อไป ก่อนหน้านี้ตนได้พูดคุยกับแม่ ซึ่งแม่ได้บอกกับตนว่า เย็นนี้แม่จะรอกอดตน ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะตอบแม่ไปว่าอะไรดี เพราะต้องรอคำสั่งศาลว่าจะให้เพิกถอนการประกันตัวหรือไม่ ส่วนบุ้งเองนั้น ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับบุ้งบ้าง ซึ่งตัวบุ้งเองก็ไม่ได้มีความกังวลใจเหมือนกับตน
ทั้งนี้ น.ส.ทานตะวันมองว่า การที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องให้ถอนประกันตัวชั่วคราวในคดีนี้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก เพราะสิ่งที่ตนกับเพื่อนเรียกร้องมาโดยตลอดนั้นเป็นสิทธิที่ขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขอยื่นประกันตัวหรือเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 ก็ตาม เพราะก่อนหน้านี้ตนกับเพื่อนเรียกร้องด้วยความประนีประนอมมาโดยตลอด แต่กลุ่มผู้มีอำนาจไม่ฟังตน จึงทำให้พวกตนจำเป็นต้องเรียกร้องที่รุนแรงขึ้น และเป็นเหตุให้กลุ่มคนเหล่านั้นมองพวกตนว่าเป็นเด็กเกรี้ยวกราด
นอกจากนี้ น.ส.ทานตะวัน กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แล้ว แต่สถานการณ์การดำเนินคดีกับนักกิจกรรมทางการเมืองยังคงมีเหมือนเดิมและมีแนวโน้มค่อนข้างแย่ลงกว่าเดิมด้วย เพราะยังมีคนต้องติดคุกจากที่ทางการเมืองอยู่เรื่อยๆ คนที่ติดคุกอยู่แล้วก็ยังไม่ได้ประกันตัวออกมา แล้วทำไมรัฐบาลชุดนี้ถึงกล้าเรียกตัวเองว่ารัฐบาลประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ยังจับคนเห็นต่างเข้าคุก ตนอยากให้รัฐบาลเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมและการดำเนินคดีภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนแบบเอาจริงเอาจัง
ต่อมาเวลา 11.40 ภายหลังออกจากห้องพิจารณาคดี นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ได้ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่า ศาลได้เลื่อนการฟังอ่านคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราวของบุ้งและตะวัน เป็นวันที่ 26 มกราคม 2567 เวลา 9.00 น. เนื่องจากบุ้งไม่สามารถเดินทางมาได้ เพราะมีอาการป่วยและมีใบรับรองแพทย์ยืนยัน ซึ่งตนขอสงวนการเปิดเผยอาการป่วยของบุ้ง เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคล
ส่วนคดีละเมิดอำนาจศาลจากเหตุปะทะกับเจ้าพนักงานตำรวจศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา คดีส่วนนี้นอกจากบุ้งจะถูกฟ้องแล้ว ยังมีน้องหยก เยาวชนอายุ 15 ปี เป็นผู้ถูกฟ้องด้วย แต่ตนทราบมาว่า น้องหยกยังไม่ได้รับหมายศาล จึงไม่ได้เดินทางมาในวันนี้
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า ศาลได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลด้วยการไต่สวนลับหลังผู้ถูกฟ้องทั้งสองที่ไม่ได้เดินทางมาศาล ซึ่งตนได้ยื่นคัดค้าน เนื่องจากคดีละเมิดอำนาจศาลที่ทางผู้อำนวยการประจำศาลยื่นฟ้องนั้น มีโทษจำคุกอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกฟ้อง อีกทั้งผู้ฟ้องทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอาการป่วยและมีใบรับรองแพทย์ ส่วนอีกคนยังไม่ได้รับหมายศาล จึงไม่เป็นธรรม หากจะมีการไต่สวนคดีลับหลัง
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงได้ปรึกษาคณะผู้บริหารและมีคำสั่งเลื่อนการไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล เป็นวันที่ 22 ม.ค. 2567 เวลา 9.00 น.และจะมีการอ่านคำวินิจฉัย ในวันที่ 26 ม.ค.2567 ซึ่งเป็นวันเดียวกันที่ศาลอ่านคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวบุ้งและตะวัน
นายกฤษฎางค์กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมองว่าคดีละเมิดอำนาจศาลนั้น กรณีนี้ยังไม่เข้าข่ายกระทำความผิดฐานนี้ เเต่การกระทำอาจเป็นคดีอาญาอื่นๆ ที่ต้องไปเเจ้งความกันผ่านตำรวจอัยการ เเละตนมองว่า ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาในส่วนน้องหยก เพราะเนื่องจากน้องหยกยังเป็นเยาวชน จึงไม่สมควรที่จะได้รับการไต่สวนพิจารณาคดีในศาลผู้ใหญ่ ตนจึงตั้งคำถามไปยังศาลยุติธรรมและคณาจารย์นิติศาสตร์ว่า สมควรแล้วหรือที่จะดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาลกับเยาวชน โดยส่วนตัวมองว่าไม่สมควรและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ขึ้นกับการพิจารณาของศาล ตนเป็นทนายความไม่มีอำนาจตรงนี้ตนเเสดงความเห็นในทางวิชาการ