พิพากษาคุก ‘อานนท์-ไมค์-ครูใหญ่’ #ม็อบ18พฤศจิกา ปี’63 แต่รอลงโทษ ส่วนไผ่ยกโทษจำคุก

ศาลอาญาใต้สั่งคุก ‘อานนท์’ กับพวก 4 ราย คดีม็อบ 18 พ.ย.63 ราษฎรประสงค์หน้า ตร. ฐานร่วมกันมั่วสุมฯคนละ 1 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท รอลงอาญา ‘ไผ่’ โชคดี ศาลยกโทษจำคุกให้ หลังรอลงอาญา ไม่ได้โดนกระทำผิดซ้ำ

เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ยื่นฟ้อง นายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่, นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ จำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ, ร่วมกันชุมนุมใดๆ โดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ ไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะ ตลอดจนผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385, ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัย หรือความสะดวกในการจราจร โดยวาง หรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด, พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 19 ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน, พ.ร.บ.รักษาความสะอาด มาตรา 12 ร่วมกันขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ บนถนน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่, ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน,ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์

จากการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ #ม็อบ18พฤศจิกา บริเวณสี่แยกราชประสงค์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563

บรรยากาศการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563

โดยในวันนี้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาล และมีการเบิกตัวนายอานนท์ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ

Advertisement

ศาลพิจารณาเล้วเห็นว่า ข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงนั้น จำเลยที่ 1, 2 เคยถูกพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวันและศาลมีคำพิพากษาแล้ว เหตุการณ์เป็นช่วงวันเวลาเดียวกัน มีเจตนาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ฟ้องโจทก์ จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ในส่วนจำเลยที่ 3, 4 ในข้อหาร่วมกันจัดให้มีการชุมนุม ผู้กระทำจะต้องประสงค์ให้มีการจัดการชุมนุม แต่พยานโจทก์ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 3, 4 เป็นคนเชิญชวนก่อให้เกิดการชุมนุม รู้แต่เพียงว่าเพจเยาวชนปลดแอกเป็นผู้โพสต์เชิญชวน และฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3, 4 เกี่ยวข้องกับเพจเยาวชนปลดแอก การที่จำเลยที่ 3, 4 ปราศรัยร่วมในฐานะผู้ชุมนุมพยานหลักฐานไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ร่วมจัดการชุมนุมซึ่งจะต้องเป็นผู้ขออนุญาตจัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดตามข้อหานี้ และไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องโรคติดต่อตามข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ในส่วนข้อหา พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะ ตลอดจนผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385, ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัย หรือความสะดวกในการจราจร โดยวาง หรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด, พ.ร.บ.รักษาความสะอาด มาตรา 19 ร่วมกันตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน, พ.ร.บ.รักษาความสะอาด มาตรา 12 ร่วมกันขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใดๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใดๆ บนถนน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่, ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด

Advertisement
บรรยากาศการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563

เนื่องจากเห็นว่าจำเลยไม่ใช่เป็นผู้สั่งการให้มีการทำร้ายเจ้าพนักงาน แม้มีการปราศรัยให้มีการปาสีแต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงให้เกิดความเสียหายแก่กล้องวงจรปิด อีกทั้งยังได้ความว่าจำเลยขอให้ยุติการกระทำซึ่งการปาสีดังกล่าวใช้เวลาเพียง 20 นาที และได้ความจากพยานเบิกความสอดคล้องกันว่าการชุมนุมดังกล่าวมีผู้ชุมนุมมากกว่า 10,000 คน ตำรวจเลยต้องปิดเส้นทางการจราจรเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยการกีดขวางทางสาธารณะจึงไม่ใช่ผลโดยตรง และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 4 เกี่ยวข้องในการมีคำสั่งให้ปิดการจราจร โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขูดเขียน พ่นสี ในส่วนข้อหาอื่นๆ พยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้

เต่ในส่วนความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้า หรือผู้สั่งการ ที่จำเลยอ้างว่าที่มีการปาสีใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพราะมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุมเมื่อ 1 วันก่อนจึงมาชุมนุมปาสีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยบอกว่าเป็นการโต้ตอบการกระทำนั้นเป็นเจตนาที่ขาดตอน ย่อมถือว่าเป็นเจตนาของจำเลยเอง การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นกระทำผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป โดยเป็นหัวหน้าหรือ ผู้สั่งการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสาม ซึ่งเป็นการมั่วสุมให้เกิดความวุ่นวาย

สั่งจำคุกจำเลยที่ 1, 2 และ 4 คนละ 1 เดือน ปรับ 20,000 บาท ในส่วนของจำเลยที่ 4 ซึ่งเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนให้บวกโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 เดือนเศษ และปรับ 26,000 บาท แต่เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะบุกเข้าไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการชุมนุมสาธารณะปราศจากอาวุธ มีการปาสีเพียง 20 นาทีก็ยุติการชุมนุม เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ จึงให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ในส่วนจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่อาจรอการลงโทษได้จึงให้ยกโทษจำคุก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image