เปิดมุมมอง อดีตอธิบดีพินิจฯ ปมการลงโทษทางอาญา เยาวชนเจนโลก ‘แก่เกินวัยใจอาชญากร’
จากกรณีคดีฆ่าป้าบัวผัน หรือ “กบ” อายุ 47 ปี ถูกกลุ่มกลุ่มเยาวชน จำนวน 5 คน รุมทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นเยาวชนอายุระหว่าง 13-16 ปี ประกอบด้วย 1.นายบิ๊ก อายุ 16 ปี, 2.ด.ช.โก๊ะ อายุ 14 ปี, 3.ด.ช.เชน อายุ 14 ปี, 4.ด.ช.กัส อายุ 13 ปี และ 5.ด.ช.แบงค์ อายุ 13 ปี ต่อมามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรืออายุของเด็กเยาวชนในการกระทำผิด
นายธวัชชัย ไทยเขียว อดีตอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ กรรมการ ก.พ.ค.ตร. ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับอายุเยาวชนในการกระทำผิดโดยระบุว่า
สื่อมวลชนเสนอข่าวประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนกฎหมายอายุบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะจาก 20 ปีบริบูรณ์เป็น 18 ปีบริบูรณ์ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ปี 2022 ขณะประเทศไทยบรรลุนิติภาวะเมื่อบุคคลทีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือจากการสมรสและศาลญี่ปุ่นตัดสินโทษประหารชีวิตชายวัย 21 ที่ได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้เมื่อตอนอายุ 19 ปี ชาวเน็ตไทยจึงแห่เห็นด้วย อยากให้เยาวชนไทยก่อคดีร้ายแรงควรได้รับการพิจารณาโทษเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
ขณะที่ประเทศไทยนั้น มาตรา 74 ป.อาญา บัญญัติว่า “เด็กอายุกว่า 12 ปีแต่ยังไม่เกิน 15 ปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการต่างๆกับเด็กเยาวชนและครอบครัวดังกล่าวได้
และถ้า”เด็กและเยาวชน” ที่อายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปืบริบูรณ์ที่กระทำความผิดทางอาญานั้นจะถูกไปดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัว
นั่นหมายความว่าเด็กอายุเกินกว่า 12 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 15 ปีบริบูรณ์ที่กระทำผิดต้องถูกส่งไปดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนฯ
ขณะที่บุคคลที่อายุเกินกว่า 18 ปีบริบูรณ์ที่กระทำผิดทางอาญาต้องถูกพิจารณาคดียังศาลธรรมดาแบบผู้ใหญ่ครับ
อย่างไรก็ตามคดีอาญาที่เด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวนั้น ถ้าศาลเยาวชนและครอบครัวพิจารณาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญา และนิสัยแล้ว เห็นว่าในขณะกระทำความผิด หรือในระหว่างการพิจารณา เด็กหรือเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิดมีสภาพเช่นเดียวกับบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปนั้น ให้มีอำนาจสั่งโอนคดีไปพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาก็ได้ตามมาตรา 97 วรรคสอง พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ครับ
สมัยที่ผมเป็นอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจะเรียกเยาวชนที่กระทำความผิดทางอาญาที่มีพฤติการณ์ที่ร้ายแรงและมีผลกระทบต่อสังคมสูงว่าเป็นพวก “เจนโลก แก่เกินวัย ใจอาชญากร” ซึ่งวางเกณฑ์เอาไว้โดยจะดูจากผลการประเมิน EQ แล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทีอายุเกิน15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
พนักงานคุมประพฤติก็จะรายงานความเห็นไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวให้ส่งไปพิจารณาคดีไปยังศาลธรรมดา ส่วนศาลจะส่งหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับศาล เพราะศาลเยาวชนฯ นั้นหรือไม่ เพราะจะพิจารณาพิพากษาคดีเสมือนเป็นศาลชำนัญพิเศษโดยมีผู้พิพากษาสมทบมาร่วมพิจารณาคดีด้วยครับ
อย่างไรก็ตามผมกว่าการกำหนดอายุเด็กหรือเยาวชน ที่กระทำผิดและรับผิดทางอาญาในปัจจุบันของประเทศไทยนั้นมีความเหมาะสมแล้วครับ
สมมุติว่าเราแก้กฎหมายให้เด็กรับผิดและมีโทษเหมือนกับผู้ใหญ่กระทำความผิดและไม่ได้ส่วนลดเรื่องอายุ และสมมุติว่าจะได้ส่วนลดจากการรับสารภาพ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โทษประหารชีวิตก็จะลดเหลือจำคุกตลอดชีวิตหรือ 50 ปี
เมื่ออยู่ในเรือนจำ ก็จะได้รับส่วนลดและสัดส่วนของการเลื่อนชั้นและนำไปสู่การลดโทษตามเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งสมมุติว่าต้องคำพิพากษาอย่างเต็มที่ 25 ปี ขณะที่เด็กกระทำความผิดมีอายุ 15 ปี เขาก็จะออกจากเรือนจำเมื่อมีอายุ 40 ปี ฉะนั้น เขายังมีช่วงชี้นชีวิตที่เหลือจนถึงวันตายตามค่าเฉลี่ยของอายุก็มากกว่า 30 ปี
คำถาม คือ เยาวชนที่เจริญเติมโตมนคุกย่อมได้รับการพัฒนาที่ไม่สมวัยเหมือนเยาวชทั่วไปภายนอกและยังอาจถูกบ่มเพาะวิชาโจรออกมาอีกก็ได้ เราจึงได้ทรัพยากรบุคคลที่เป็นภาระมากกว่าพลัง และหากยิ่งขณะที่เขากระทำความผิดด้วยอายุยังน้อยที่วุฒิภาวะและความเจนโลกที่ไม่ถึงพร้อม และเขาอาจจะยังคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเขาในขณะนั้นเป็นความผิด การพ้นโทษออกมาอาจเกิดพฤติกรรมอยากแก้แค้นสังคม และออกมากระทำความผิดที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันทวี
สังคมจึงต้องคิดหน้าคิดหลังอย่างรอบคอบถี่ถ้วนถึงผลดีผลเสีย
รัฐควรกำหมดมาตรการป้องกันสอนเด็กด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์ เสริมทักษะ และเสริมพลัง เพื่อให้ได้พฤติกรรมอันพึงประสงค์ที่เหมาะสมตามวัย มีโรงเรียนสอนคู่สมรสและพ่อแม่ในการเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตร และดูแลลูกอย่างเหมะสมตามวัย ดีกว่าหมดปัญญาคิดอะไรไม่ออกก็ออกกฎหมายมาควบคุมสังคม
รัฐอย่าทำตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่ช่างรู้ ที่อาศัยแต่ประสบการณ์และความคาดหวังนำทาง เดี๋ยวรัฐนั่นแหละจะเป็นเสมือนพ่อแม่รังแกฉัน
ถ้ายังคิดไม่ออก อยากให้รัฐไปดูกระบวนการปรับแก้ไขพฤติกรรมเด็กหรือเยาวชนที่ “บ้านกาญจนาภิเษก” ตาก็จะได้สว่างครับ
การไม่ให้ความรัก สวมกอด และไม่ให้อภัยเด็กและเยาวชน จะเป็นเครื่องมือที่ทำร้ายเด็กและเยาวชนไปสู่การพัฒนาไม่สมวัย อันจะเป็นภัยคุกคามชาติบ้านเมืองแบบน้ำซึมบ่อทรายที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเหินไปเสียแล้ว