โฆษกดีเอสไอ เผยเหตุรับคดี ลุงเปี๊ยก เป็นคดีพิเศษ พบเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย แจ้งอัยการ ดึง 4 หน่วยงานเป็นคณะสอบสวนข้อเท็จจริง ส่วนตำรวจเกี่ยวข้องกี่รายอยู่ระหว่างพิจารณา
เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยกรณีรับสืบสวนกรณี “ลุงเปี๊ยก” เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566 (พ.ร.บ.อุ้มหาย) ว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว ตามมาตรา 31 ระบุไว้ว่า หน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนมีอยู่ 4 หน่วยงาน คือ พนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ ทั้งนี้ หากรับเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ดีเอสไอจะต้องแจ้งการรับคดีพิเศษนี้ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้พนักงานอัยการเข้ามาร่วมในการสอบสวน รวมทั้งจะเชิญกรมการปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นคณะพนักงานสอบสวนร่วมกัน 4 ฝ่าย
พ.ต.ต.วรณันกล่าวอีกว่า ดีเอสไอมีพยานหลักฐานพอสมควรที่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย และมีการสอบปากคำเบื้องต้น “ลุงเปี๊ยก” แล้ว แต่ยังไม่ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกระทำความผิดกี่รายเป็นใครบ้าง เพราะต้องดูรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อน โดยตามกฎหมายต้องส่งสำนวนแจ้งไปยัง ป.ป.ช. เพื่อรับทราบและทำการสอบสวนต่อไป
“สำหรับการดำเนินคดี หรืออัตราโทษ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มีทั้งโทษทางปกครองและอาญา เบื้องต้นมีโทษจำคุกที่ 5-15 ปี และอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตำรวจด้วย ซึ่งจะเร่งรัดโดยเร็วที่สุดเพราะอยู่ในความสนใจของสังคม” พ.ต.ต.วรณันกล่าว
พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวว่า ดีเอสไอเจ้าหน้าที่ไปสอบปากคำเบื้องต้นกับลุงเปี๊ยก ถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ในวันเกิดเหตุนั้น ในข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานพอสมควร มีเหตุที่จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนได้ ส่วนรายละเอียดเชิงลึกขอละเว้นการเปิดเผยไว้ก่อน แม้ส่วนใหญ่จะมีการเห็นได้จากสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว ทั้งเรื่องคลิปวิดีโอ เป็นต้น จึงยังเร็วไปที่จะปักธงว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกระทำความผิด เพราะต้องดูรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อน อย่างไรก็ตาม แม้ท้ายสุดจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจริง กฎหมายก็ได้ระบุไว้ว่าให้พนักงานสอบสวนแจ้งไปยัง ป.ป.ช. เพื่อรับทราบและทำการสอบสวนต่อไป
พ.ต.ต.วรณันกล่าวว่า สำหรับการดำเนินคดี หรืออัตราโทษ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มีทั้งโทษทางปกครองและอาญา ขึ้นอยู่กับว่าประพฤติผิดในรายมาตราใดของกฎหมายดังกล่าว เบื้องต้นมีโทษจำคุกที่ 5-15 ปี และต้องรอดูการรวบรวมข้อมูลของทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตำรวจด้วย ทั้งนี้ พฤติการณ์ทางคดีการเสียชีวิตของ น.ส.บัวผัน ตันสุ และของลุงเปี๊ยกถือว่าแยกขาดจากกัน แต่สามารถใช้รายละเอียดในคดีประกอบการพิจารณาได้ และทั้ง 4 หน่วยงานจะนัดหมายประชุมให้เร็วที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ลงนามเอกสาร ด่วนที่สุด ที่ ยธ. 0853/26 นำส่งไปยังอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เรื่อง แจ้งเรื่องการสอบสวน กรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก โดยภายในเอกสารระบุเนื้อหา ว่า “ด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ระหว่างการสืบสวน
กรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566 (เลขสืบสวนที่ 11/2567) ในการนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการรับกรณีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อให้การดำเนินการสอบสวนเป็นไปตามบทบัญญัติตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565