เศรษฐา แจ้งที่ประชุม ก.ตร. เด้ง 2 บิ๊ก “ต่อ-โจ๊ก” ช่วยสำนักนายกฯ เพื่อความเป็นธรรมไม่ให้เสียภาพพจน์
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aek Angsananont (พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์) ว่า “วันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 14.00 น.ได้มีการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 2/2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร.เป็นประธานในที่ประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ. ตร.และ ก.ตร.เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประธานในที่ประชุมได้เริ่มการประชุมโดยแจ้งให้ที่ประชุมทราบ กรณีย้าย ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.ไปปฎิบัติราชการที่สำนักงานนายกฯ และให้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ยุติปัญหาความขัดแย้งที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ และการดำเนินงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป ทั้งสองท่านยังไม่มีความผิด และเชิญให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะอื่นๆ
ผมได้แสดงความคิดเห็นชื่นชมและขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่ได้ดำเนินการยุติปัญหานี้ได้อย่างทันท่วงที มั่นใจว่าคณะกรรมการตรวจสอบที่แต่งตั้งขึ้นจะต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีการกล่าวหาในเชิงลึก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและสามารถขยายผลไปสู่การดำเนินคดีผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง
และขอให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้ดำเนินการตามนโยบายที่ท่านนายนายกรัฐมนตรีมอบหมายป้องกันปราบปรามการพนันออนไลน์และการพนันอื่นๆ อย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อเรียกศรัทธาของพี่น้องประชาชนให้กลับมาเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจต่อไป
มีวาระการประชุมที่น่าสนใจอีกสองเรื่อง
เรื่องแรก ระเบียบวาระการประชุมเรื่องอื่นๆ ผมได้เสนอให้ที่ประชุม ก.ตร.พิจารณาจัดตั้งอนุ ก.ตร.พัฒนางานสืบสวนสอบสวน ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังต่อไปนี้
1.พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มีบทบัญญัติให้ความสำคัญสถานีตำรวจและพนักงานสอบสวนในการที่จะอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนหลายมาตรา ที่ ตร.จะต้องเร่งรัดดำเนินการ
2.สภาพปัญหาปัจจุบันพนักงานสอบสวนขาดแคลนจำนวนมาก งานหนัก ขาดการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ ขอย้ายไปปฏิบัติหน้าที่อื่น ขาดขวัญและกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ เงินเพิ่มพิเศษประจำตำแหน่งและเงินค่าตอบแทนในการทำสำนวนการสอบสวนไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ทำให้ส่งผลถึงกระทบถึงการให้บริการประชาชน มีปัญหาการร้องเรียนให้บุคคลที่สามเข้ามาดำเนินการ ปรากฏเป็นข่าวอยู่เป็นประจำ
3.โครงสร้างและองคาพยพที่มีอยู่ปัจจุบัน อาทิ สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน (สบส.) คณะกรรมการส่งเสริมงานสอบสวน มีข้อจำกัดในเรื่องบุคลากรที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์และองค์ความรู้ในเรื่องงานสืบสวนสอบสวน ตลอดจนระยะเวลาที่มาดำรงตำแหน่งเพียงชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนตามนโยบายของ ตร.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การดำเนินการในเรื่องสำคัญหลายเรื่องเช่น การกำหนดตำแหน่งตามกฎหมายใหม่และการแก้ไขคำสั่งที่ 419/2556 เป็นไปโดยล่าช้าทำให้เกิดความเสียหาย
5.อนุ ก.ตร.พัฒนางานสืบสวนสอบสวน จะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านงานสืบสวนสอบสวนสอบสวน มีประสบการณ์และทักษะ เป็นครูพนักงานสอบสวน เข้ามาสนับสนุนการทำงานของ ก.ตร./ตร.ได้อย่างต่อเนื่อง
6.ไม่เป็นการซ้ำซ้อนกับอนุ ก.ตร.บริหารงานบุคคลหรือพัฒนางานบริหารงานบุคคล เพราะงานสืบสวนสอบสวนเป็นงานหลักของตำรวจ จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสายงานสืบสวนสอบสวนเข้ามามีส่วนให้ความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานสืบสวนสอบสวนต่อไป
ก.ตร.ได้มีมติอนุมัติในหลักการจัดตั้งอนุ ก.ตร.พัฒนางานสืบสวนสอบสวน และมีข้อสังเกตให้มีผู้ทรงคุณวุฒิบุคคลภายนอกร่วมด้วย
เรื่องที่สอง เป็นกรณี พล.ต.อ..วินัย ทองสอง ก.ตร. ได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการแก้ไขเยียวยาให้ผู้ที่ถูกแต่งตั้งออกนอกหน่วยโดยไม่สมัครใจ เมื่อต้นปี 2566 ซึ่ง ก.ตร.ได้มีมติให้ ตร.ได้ดำเนินการแก้ไข เยียวยาแล้ว ได้ดำเนินการมีความคืบหน้า อย่างไรบ้าง
พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร.(บร.) ได้ชี้แจงว่าบางส่วนได้แต่งตั้งโยกย้ายกลับสังกัดเดิม บางส่วนยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากตำแหน่งเต็ม ได้เสนอให้ รรท.ผบ.ตร.ลงนามสั่งให้ไปช่วยราชการตามความสมัครใจบรรเทาความเดือดร้อนเป็นการชั่วคราว
ขอขอบพระคุณ ก.ตร.ทุกท่านที่สนับสนุนให้มีให้แต่งตั้งคณะอนุ ก.ตร.พัฒนางานสืบสวนสอบสวน
ขอขอบพระคุณ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ที่ได้ลงนามทันทีในคำสั่งให้ตำรวจที่ถูกย้ายออกนอกหน่วยโดยไม่สมัครใจได้ไปช่วยราชการหน่วยงานตามความประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ไปพรางก่อน เป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจในระดับหนึ่ง และหวังว่าจะได้แต่งตั้งโยกย้ายกลับต้นสังกัดเดิมในวาระการแต่งตั้งครั้งต่อไป”
