จับมือยิงขุนแผนในไร่มัน ที่แท้เป็นเพื่อนสมัยเด็กอ้างหึงเมียกลัวปันใจให้
จากกรณี นายพิจิตร์ ว่องไว อายุ 60 ปี หนุ่มใหญ่ฉายาขุนแผน อ.โนนสะอาด พบเป็นศพถูกยิงกลางอก ในไร่มันสำปะหลังของตนเอง เหตุเกิดที่ บ้านโคกกลาง หมู่ 13 ต.โคกกลาง อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี เช้ามืดของวันที่ 24 เมษายน ล่าสุดตำรวจจับกุมมือยิงรายนี้ได้แล้ว พบว่าเป็นเพื่อนสนิทวัยเด็ก มือยิงไปมีเมียที่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ แต่ไปมาหาสู่กันประจำ ช่วงหลังระแวงคนตายจะกิ๊กกับเมีย เลยมาเคลียร์ใจก่อนจบที่ยิงกัน
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวเวลา 23.00 น.วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 พฤษภาคม 2567 พ.ต.อ.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ รอง ผบก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.พันธุ์เพ็ชร เหล่ากำเนิดเพชร ผกก.สส ภ.จ.อุดรธานี พ.ต.อ.ปฐวี ก้อนวิมล ผกก.สภ.โนนสะอาด ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.ท.อรรคพล วงษ์ฤทธิวัลย์ รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.อุดรธานี นำกำลังเข้าจับกุม นายทรงศักดิ์ สุดแสง หรือทุย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 164 หมู่ 9 ต.โคกเครือ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์.ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานีที่ 147/2567 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 โดยกล่าวหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ,พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาต”
โดยจับกุมได้ที่บ้านพัก พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Xiaomi รุ่น Redmi 9T สีดำ 1 เครื่อง รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ Honda รุ่น Wave 110i สีดำแดง จำนวน 1 คัน เสื้อยืดแขนสั้นสีดำ ด้านหน้าสกรีนว่า “XM” ด้านหลังสกรีนว่า “Seminar KhonKaen” จำนวน 3 ตัว กางเกงยีนส์ขายาวขาดเข่า 2 ข้าง 1 ตัว ถุงย่ามกระสอบสีเขียว 1 ชิ้น ลูกตะกั่ว 1 ถุง เศษชิ้นส่วนตะกั่ว 5 ชิ้น ซึ่งนายทุย ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้ไปยิงนายพิจิตร์จริง เพราะหึงหวงภรรยา
พ.ต.อ.ปฐวี ก้อนวิมล ผกก.สภ.โนนสะอาด เปิดเผยว่า ปมประเด็นสังหารคือเกิดจากความหึงหวง โดยมีเหตุอันควรหึงหวง โดยผู้ตายกับผู้ตองหาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่หลังจากแต่งงานก็ย้ายไปอยู่กับภรรยา แต่ทั้งสองก็ยังติดต่อไปมาหาสู่กัน
ส่วนประเด็นการสังหาร ผู้ต้องหารับสารภาพว่า หึงหวงภรรยากับผู้ตาย เดินทางจาก อ.หนองกุงศรี เวลา 01.00 น.วันที่ 24 เมษายน ตั้งใจมาเคลียร์กับผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านที่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ มาตั้งแต่ ตี 1 แต่มาถึงก็คุยกันได้นิดเดียว ผู้ตายถือมีดกับขวานลงมา จึงตัดสินใจยิง เพราะยิงได้นัดเดียว แล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี
พ.ต.ท.อรรคพล วงษ์ฤทธิวัลย์ รอง ผกก.สส.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ประเด็นการสังหาร ได้ให้น้ำหนักไปที่ประเด็นชู้สาว หลักฐานที่มุ่งไปหาผู้ก่อเหตุคือภรรยาผู้ เพราะภรรยาผู้ก่อเหตุมาตามหาผู้ตายที่บ้าน 3 วันติดกัน จึงเป็นข้อสงสัย จึงตรวจหาหลักฐานจากชกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านและหมู่บ้านข้างเคียง พบจักรยานยนต์ เสื้อผ้า อาวุธปืน กระสุนปืน ซึ่งสอดคล้องกับผู้ก่อเหตุ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับ และเข้าจับกุม ซึ่งจากการสอบสวน
“ผู้ก่อเหตุยอมรับว่าหึงหวงภรรยา ไม่ใช่เฉพาะกับผู้ตาย กับคนอื่นก็หึงหวงภรรยาเป็นทุนเดิม ซึ่งผู้ตายกับผู้ก่อเหตุติดต่อไปมาหาสู่กันประจำอยู่แล้ว ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ได้นำไปทิ้งในป่ามันสำประหลัง ซึ่งผู้ต้องหาจำไม่ได้ ส่วนลูกปืนเป็นหลักฐานพิเศษ “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่เหตุอันควร”
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 2 ต.โคกกลาง บ้านของนายพิจิตร์ ผู้ตาย เพื่อไปสอบถามนางสุดตา อายุ 58 ปี ภรรยาผู้ตาย และ น.ส.นุ่น อายุ 32 ปี ลูกสาวคนเล็กผู้ตาย หลังจากที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว พบว่าที่บ้านมีการจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ดีใจที่คนร้ายถูกจับได้ และนึกไม่ถึงว่าฆาตกรจะเป็นเพื่อนสนิทกับผู้ตาย
ภรรยาผู้ตาย เล่าว่า ดีใจที่จับคนร้ายได้แล้ว ต้องขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกฝ่าย ที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ ทราบว่าคนยิงเป็นเพื่อนกับสามีตั้งแต่ยังเด็ก บ้านเกิดเขาอยู่บ้านหนองแวง หมู่2 ห่างไปประมาณ 1 กม. เขาไปมีเมียอยู่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งตนก็รู้เพียงเท่านี้ ก่อนหน้านี้มือยิงและภรรยาเขามารับจ้างขนขี้อ้อยอยู่แถวบ้าน มีน้องเขาขับรถสิบล้อให้ ภรรยาของมือยิงก็มาซื้อของที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง เขาก็จะเทียวไปเทียวมา ก็ไม่ได้ผิดสังเกตอะไร คิดไม่ถึงว่าเพื่อนกันจะมายิงกันแบบนี้ เรื่องสาเหตุการยิงตนก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
ลูกสาว เล่าว่า ดีใจที่คนร้ายได้ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำงานกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน มันเกินคาดที่คนร้ายเป็นคนใกล้ตัว ที่บ้านไม่ได้รับรู้ว่าปมสาเหตุเกิดจากอะไร แต่คนร้ายก็สารภาพว่าเป็นคนยิงจริง ทราบข่าวแต่แรกแล้วว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้ เพราะตำรวจประสานข้อมูลมาตลอด แต่ไม่ได้บอกใคร เพราะกลัวแม่จะตกใจ ตอนทำแผนที่บ้านก็ไม่ได้ไปร่วมสังเกตุการณ์ อยากบอกพ่อว่าจับคนร้ายได้แล้วนะ ส่วนคนร้ายก็ขอให้รับกรรมที่ก่อเอาไว้
