เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 18 มกราคม ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกระทำชำเราเด็กหญิง ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายลอน โสรกนิษฐ์ อายุ 68 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนายพิมล ซุ่นศรี หรือซุ้นศรี อายุ 58 ปี อดีตอาจารย์ระดับ 7 สอนพละ โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสายไหม จำเลยที่ 1-2 ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจาร กระทำอนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร กระทำชำเราฯ และ หน่วงเหนี่ยว กักขัง เพื่อการอนาจาร
คำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2549 นายลอน จำเลยที่ 1 พา ด.ญ.ปุ๊ก (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี ผู้เสียหาย โดยหลอกเข้าไปในห้องน้ำก่อนกระทำอนาจารผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้พราก ด.ญ.ปุ๊ก ไปกักขัง เพื่อกระทำชำเรา และนายลอน จำเลยที่ 1 ยังมีพฤติการณ์ พา ด.ญ.ปุ๊ก ไปชำเราและอนาจารอีก 5 ครั้ง ขณะที่ นายพิมล จำเลยที่ 2 ใช้กำลังประทุษร้าย ด.ญ.ปุ๊ก เพื่อกระทำอนาจารและกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ 4 ครั้ง ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพา ด.ญ.ปุ๊ก ด.ญ.ปิ๊ก (นามสมมุติ) อายุ 8 ปี ด.ญ.ปู (นามสมมุติ) อายุ 8 ปี ด.ญ.ปลา (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี และ ด.ญ.ป๋อม (นามสมมุติ) อายุ 8 ปี โดยล่อลวงว่าจะพาไปซื้อขนม ก่อนจะกระทำอนาจารผู้เสียหายทั้ง 5 คน และพรากผู้เสียหายทั้ง 5 คน ไปจากบิดา มารดา เพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขังกระทำการด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เพื่อยินยอมให้จำเลยทั้งสองกระทำชำเรา โดยจำเลยทั้งสองยังร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายแก่ผู้เสียหายทั้ง 5 คน และผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายทั้ง 5 คนอีกด้วย นอกจากนี้ นายลอน จำเลยที่ 1 ยังได้กระทำชำเรา ด.ญ.แป๋ม (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี และข่มขืนใจ ด.ญ.ปุ้ม (นามสมมุติ) อายุ 7 ปี น้องสาว ไม่ให้นำเรื่องไปบอกเล่ากับใคร เหตุเกิดที่แขวงและเขตสายไหม
ศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม โดยจำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 68 ปี 3 เดือน ส่วนนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุก 51 ปี แต่เมื่อรวมโทษ ทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง สูงสุดคนละ 50 ปี
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาวันที่ 7 กันยายน 2555 เห็นว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องความผิดของจำเลยทั้งสอง 31 ข้อ แต่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องข้อใดบ้าง และพิพากษานายลอน จำเลยที่ 1 เกินไปจากคำฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางข้อ พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรในบางข้อ ศาลอุทธรณ์จึงเห็นสมควรแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษาในความผิดตามฟ้องทั้งหมดเสียใหม่ให้ชัดเจน และเพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปด้วยความถูกต้อง จึงแก้เป็นให้จำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 12 ปี
ต่อมาอัยการโจทก์ ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษตามความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ในส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องไปนั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 ยื่นฎีกาต่อสู้คดี ข้อกฎหมายว่าฟ้องของอัยการโจทก์เคลือบคลุมไม่ชัดเจน และการสืบพยานเด็กผู้เสียหายล่วงหน้านั้นไม่ชอบ
โดยวันนี้ศาล เบิกตัวจำเลยทั้งสอง มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกา จำเลยทั้งสองไม่ได้รับการปล่อยตัว ตั้งแต่ปี 2550 ที่ศาลชั้นต้นพิจารณา ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ระบุช่วงเวลาเกิดเหตุ มิถุนายน 2549 วันที่ 10 สิงหาคม 2549 สถานที่ และพฤติการณ์พอให้จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุวันเวลาที่ชัดเจนแน่นอน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองจะมีความผิดตามที่โจทก์ยื่นฟ้องหรือไม่เห็นว่า เด็กหญิงผู้เสียหาย ผู้ปกครอง และแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุนั้น จำเลยทั้งสองได้พาเด็กหญิงผู้เสียหายไปยังบ้านพักครูแล้วให้เด็กหญิงถอดเสื้อผ้า และชุดชั้นในออกก่อนที่จะกระทำชำเรา แม้เด็กหญิงจะมีอาการเจ็บปวด และจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่จำเลยใช้ไม้เรียวตีขู่ห้ามนำเรื่องราวไปบอกบุคคลก่อนที่จะมอบเงิน 100 บาทให้
เมื่อผู้ปกครองของเด็กผู้เสียหายพบความจริงที่กระโปรงของเด็กมีคราบเลือดรวมทั้งอวัยวะเพศของเด็กหญิงมีอาการบวมช้ำ และมีเลือดออกเป็นลิ่ม จึงพาไปตรวจร่างกาย แพทย์เบิกความว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากการร่วมประเวณี ทางนำสืบพบว่าจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงที่โรงพละศึกษา หลังเลิกเรียน บ้านพักครู และเด็กอีก 4 คนที่พาไปยังโรงแรม โดยหลายเหตุการณ์มีเด็กหญิงเบิกความเกี่ยวกับรายละเอียด พยานโจทก์ล้วนแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน ขณะที่เด็กผู้เสียหายมีอายุ 7 ปีเศษ จำเลยทั้งสองเป็นครูผู้สอน เด็กหญิงย่อมเกิดความยำเกรง ดังนั้นหากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเด็กคงจะไม่ให้การปรักปรำจำเลยให้รับโทษ อีกทั้งเรื่องราวที่เบิกความมีรายละเอียดยากที่เด็กจะแต่งเรื่องขึ้นมา
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี อีกรายหนึ่งนั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีเด็กหญิงผู้เสียหายและเพื่อนของเด็กหญิงในที่เกิดเหตุ บิดาของเด็กหญิงและแพทย์ผู้ตรวจ เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันว่าวันเกิดเหตุ นายลอน จำเลยที่ 1 เข้ามาพบเด็กหญิงที่ห้องพยาบาล ของโรงเรียน โดยบังคับให้เด็กหญิงถอดเสื้อผ้า และกระทำชำเรา เมื่อเด็กหญิงร้องขอความช่วยเหลือก็ขู่จะฆ่า ระหว่างนั้นก็มีบุคคลโทรศัพท์เข้ามือถือนายลอน จำเลยที่ 1 ตอบว่ายังไม่เสร็จ ระหว่างนั้นมีคนมาเคาะประตูห้องพยาบาลโดยนายลอน จำเลยที่ 1 สวมกางเกงเดินออกมา แต่ไม่ทันรูดซิป
เพื่อนของเด็กหญิงผู้เสียหายเบิกความว่า ขณะเดินมาตามหาเพื่อนที่ห้องพยาบาลยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ถึงหน้าห้องพยาบาล เห็นนายลอน จำเลยที่ 1 เดินเปิดประตูออกมา และเห็นกางเกงไม่รูดซิป โดยห้องพยาบาลพบเด็กผู้เสียหายร้องไห้อยู่ จึงพาออกจากห้องพยาบาล และแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ขณะที่บิดาของเด็กผู้เสียหายเบิกความว่า วันเกิดเหตุนายลอน จำเลยที่ 1 อ้างว่าบุตรสาวปวดท้องไส้ติ่งนอนพักอยู่ที่ห้องพยาบาล จึงเดินทางมารับกลับบ้าน แม่เด็กผู้เสียหายเบิกความด้วยว่า ระหว่างอาบน้ำให้เด็กหญิงพบลิ่มเลือดบริเวณต้นขา ผลการตรวจร่างกายของแพทย์พบร่องรอยการชำเรา ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
จึงพิพากษาแก้เป็น จำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 ฐานหน่วงเหนี่ยว กักขัง และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี อีกเป็นเวลา 7 ปี 3 เดือน และเมื่อลงโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาแล้ว 12 ปี จึงรวมจำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 19 ปี 3 เดือน นอกเหนือจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ในส่วนของนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุกไว้ 12 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงาน การฟังฎีกาวันนี้ คงมีเพียงจำเลยทั้งสองที่ถูกคุมขังในเรือนจำ มาฟังคำพิพากษา ทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย ตลอดเวลาการฟังคำพิพากษา