ญาติแฉ มีตร.วิ่งเต้นล้มคดี หนุ่มจีนบังคับเด็กเอ็นอัพยาช็อกดับ อ้างสู้กับคนรวย ไม่มีสิทธิชนะ 

ญาติโวย ตร.วิ่งเต้นล้มคดี ปมหนุ่มจีนบังคับสาวเด็กเอ็นอัพช็อกดับ อ้างสู้กับคนรวย ไม่มีสิทธิชนะ ญาติเชื่อเพิ่งมารับงานเอ็นไม่นาน 

จากกรณี หญิงสาวรายหนึ่ง รับงานเอ็นจากโมเดลลิ่งติดต่อดูแลลูกค้าวีไอพีชาวจีน ก่อนถูกบังคับอัพ จนช็อกเสียชีวิตตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ สน.โชคชัย นางเสาวนีย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี น.ส.อัญรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นครอบครัวของ น.ส.ไอรดา หรือ น้องไอ อายุ 22 ปี ได้เดินทางจาก จ.ร้อยเอ็ด เข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย เพื่อติดตามความคืบหน้าของการเสียชีวิตของ น.ส.ไอรดา หรือ น้องไอ โดยทันทีที่มาถึง ปรากฏว่าแม่เกิดอาการไม่ค่อยสบายและคล้ายจะเป็นลม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้พาตัวแม่ของไปพักในห้องรับแจ้งความ

น.ส.อัญรัตน์เปิดเผยว่า ตนและครอบครัวเพิ่งทราบว่าน้องรับงานแบบนี้ตอนที่เจ้าหน้าที่ตํารวจโทรมาแจ้งว่าพบศพ ซึ่งที่ผ่านมารู้ว่าน้องทํางานประจําอยู่ที่บริษัทขนส่งแห่งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นงานพาร์ตไทม์ โดยน้องมีปัญหาส่วนตัวและได้เลิกกับแฟนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 จากนั้นได้ย้ายมาอยู่คนเดียวที่หอและมีการโทรมาขอเงินที่บ้าน บอกว่าจะนําไปจ่ายค่าหอแต่ทางบ้านไม่มีให้

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าน้องรับงานนี้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนเสียชีวิตน้องอยู่กับตนที่ จ.ร้อยเอ็ด และไม่มีอาการของคนติดยาหรือพูดถึงงานดังกล่าว รวมถึงที่ผ่านมาก็ไม่มีพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยคืนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 01.30 น.น้องบอกกับแฟนคนปัจจุบันว่าจะออกไปทํางาน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นงานอะไร โดยมีรถมารับน้องออกจากหอพักแห่งหนึ่งภายในซอยลาดพร้าว 107 สำหรับส่วนตัวชื่อว่าน่าจะมีการพูดคุยกัน แต่ตนยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแฟนของน้องแต่อย่างใด ซึ่งแฟนของน้องก็เพิ่งมาทราบหลังจากที่น้องเสียชีวิตแล้วว่าน้องทำงานดังกล่าว สำหรับเหตุผลที่ครอบครัวรีบทําพิธีฌาปนกิจศพที่วัดบึงทองหลางนั้น เนื่องจากไม่มีงบ จึงได้ไปกู้ยืมมาจัดงานศพกับทางวัดได้ช่วยเหลือบางส่วน เลยได้จัดงานศพให้น้องเพียงวันเดียวและฌาปนกิจไปเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ADVERTISMENT

เมื่อถามว่าครอบครัวยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตหรือไม่ น.ส.อัญรัตน์กล่าวว่า ติดใจตรงที่เพื่อนน้องบอกว่าน้องไม่เคยเล่นยาหรือรับงานแบบนี้มาก่อน แต่ครอบครัวไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันว่าน้องไม่เล่นยา เพราะหลักฐานทั้งหมดอยู่ในห้องเกิดเหตุและอยู่ตํารวจทั้งหมด เบื้องต้นอยากได้หลักฐานของน้องคืนทั้งหมด เช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเคยขอไปแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจแจ้งว่ายังให้ไม่ได้ ต้องรอคดีสิ้นสุดก่อน แต่มีการประสานจะเยียวยาให้ครอบครัวเพื่อจบเรื่อง โดยรอบแรกเป็นโมเดลลิ่งคนที่ 1 ซึ่งเป็นคนที่ส่งงานให้น้องตลอด โทรติดต่อมาบอกว่า ทางฝ่ายชายต้องการเยียวยาค่าทําศพ 100,000 บาท แต่โมเดลลิ่งคนแรกก็แนะนําให้เรียกเพิ่ม ซึ่งฝ่ายชายจะส่งทนายมาเป็นตัวแทนเจรจา แต่ตนก็ยังไม่ตอบกลับอะไร จากนั้นมีโมเดลลิ่งที่สองซึ่งเป็นคนที่รับงานจากคนจีนคนนี้ ติดต่อมาอีกในข้อเสนอเดิม แต่เพิ่มเป็น 200,000 บาท ซึ่งตนยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอและยังไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว

น.ส.อัญรัตน์กล่าวอีกว่า มีเจ้าหน้าที่ตํารวจพูดถึงเรื่องเงินเยียวยาทํานองว่า มีให้เลือก 2 ทาง คือ ให้รับเงินเยียวยา โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจจะเป็นตัวกลางเสนอที่ 500,000 บาท หรือจะไม่รับการเยียวยาแล้วไปสู้ในชั้นศาล แต่น้องที่เสียชีวิตเป็นคนรับงานเอง ก็ถือว่ามีส่วนผิด อีกฝั่งอาจจะไม่ต้องเยียวยาก็ได้ ต่อให้สู้ก็ไม่มีสิทธิที่จะชนะคดี ซึ่งแนวทางที่ 2 นั้น ตนรู้สึกไม่โอเค จึงยอมรับว่าตอนนั้นเลือกแนวทางแรก เพราะอย่างน้อยยังได้เงินเยียวยาดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เพิ่งทราบเมื่อวานว่า โมเดลลิ่งคนที่ติดต่องานให้คนจีน มีแฟนเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจและรู้จักกับเจ้าหน้าที่ตํารวจที่รับเรื่องคดี จึงรู้สึกแปลกเพราะเรื่องเงียบ เลยเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และกังวลเนื่องจากคนจีนผู้ก่อเหตุเป็นคนที่มีฐานะรวย ถึงขนาดเปิดห้องได้ 100,000 บาทต่อคืน ทําให้วันนี้ตนออกมาเพื่อจะสู้และยืนยันจะดําเนินคดีจนถึงที่สุดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องสาว จะได้เงินหรือไม่ตอนนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว รวมทั้งตอนนี้อยากให้โมเดลลิ่งคนที่ติดต่องานให้คนจีนและตื๊อให้น้องรับงานมาพูดคุยเพื่อพูดคุยแสดงความรับผิดชอบและนำพยานหลักฐานมามอบให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือน้อง เพราะเขาอ้างว่าตอนนี้ได้ลบแชตที่พูดคุยกับน้องทิ้งหมดแล้ว ซึ่งพี่สาวยังพูดทิ้งท้ายว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ให้น้องทำงานดังกล่าว

นางเสาวนีย์กล่าวว่า ในวันที่น้องเสียชีวิต สามีได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วงประมาณ 9 โมง โดยบอกว่า น้องเสียชีวิตแล้วที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยยังไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งตอนที่ได้ยินครั้งแรกตนก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง และมีเพื่อนของลูกสาวที่เข้าไปดูศพ บอกว่าลูก Overdose หรือเสพยาเกินขนาดเสียชีวิต ซึ่งตนไม่ปักใจเชื่อ จึงได้โทรหาเพื่อนของลูกสาวอีกคนหนึ้ง ซึ่งเขาก็ยืนยันว่า ลูกสาวไม่ได้เสพยาเสพติดอย่างแน่นอน นั่นจึงทำให้ตนมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าตอนนั้น ลูกสาวตนไม่เคยเสพยาเสพติดหรือรับงานเพื่อยาเสพติด ตนยังไม่ปักใจเชื่อแม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งภาพถ่ายมาให้ จนกระทั่งได้ติดต่อที่นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ก็ทราบว่าน้องเสียชีวิตจริง จึงได้พาเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯเพื่อมารับศพน้องไปบำเพ็ญกุศล โดยได้มารับใบแจ้งตายที่ สน.โชคชัย ก่อน

ซึ่งในตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าลูกสาวเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร ในระหว่างที่อยู่ที่ สน.โชคชัย ก็ทราบว่าจะมีนายตำรวจนายหนึ่งเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งคนในโรงพักก็บอกว่านายตำรวจคนนี้เก่งแล้วมีความสามารถ จึงทำให้ตนมีความรู้สึกอุ่นใจและเชื่อว่าลูกจะได้รับความเป็นธรรม จะสามารถช่วยคดีของลูกได้ แต่พอเชิญเข้าไปพูดคุยข้างในห้อง นายตำรวจคนนี้บอกแม่ว่า มีพยานหลักฐานว่าตัวน้องเสพยาเสพติดหนักมาก โดยมีพยานแวดล้อมที่เป็นเพื่อนอีก 4 คนที่ยืนยันเรื่องนี้และเพื่อนก็อ้างว่า น้องรับงานลักษณะแบบนี้มานานแล้วและได้ห้ามน้องแล้ว ซึ่งตนก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อน 4 คนนั้นเป็นใครบ้าง แต่ตนก็ไม่รู้ว่าลูกเสพยาเสพติดจริงหรือไม่ เพราะไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา จึงมีความรู้สึกแย้งในใจ เพราะเนื่องจากยังไม่มีผลแพทย์ระบุว่าน้องมียาเสพติดในร่างกาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าต้องรออย่างน้อย 45 วันกว่าผลจะออก

นางเสาวนีย์กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้แม่ 2 ทาง แนวทางแรกคือ ทางครอบครัวไม่ติดใจในการตายของลูกสาว จึงไม่ติดใจจะเอาความ ทางตำรวจจะคืนทรัพย์สินของลูกสาวให้ทั้งหมด แล้วจะทำเรื่องให้ได้รับเงินชดเชยเยียวยาจากการเสียชีวิต ส่วนแนวทางที่ 2 คือจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ตอนนั้นตนเข้าใจว่าสาเหตุการตายของลูกเกิดจากการช็อกเพราะเล่นยาเกินขนาดตนยังไม่ได้ตัดสินใจ จึงออกมาปรึกษากับครอบครัว ได้ข้อสรุปว่า หากต่อสู้คดีต่อไปมีสิทธิ์แพ้ถึง 80% เพราะเนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการขึ้นลงขึ้นศาลอีกเยอะ รวมทั้งที่บ้านก็ไม่ได้มีรายได้ขนาดนั้น มองว่าในเมื่อลูกสาวเสียชีวิตไปแล้ว ได้เงินค่าเยียวยาก็ยังดี อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากใครทั้งสิ้น เพราะยังไม่ตอบตกลงในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง

นางเสาวนีย์กล่าวอีกว่า ตอนนั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นข้อเสนอให้ ตนรู้สึกสงสารลูกและก็กังวลกลัวเขาจะไม่เข้าใจคิดว่าเราต้องการเงิน แต่ต้องยอมรับว่าจากการที่ฟังเจ้าหน้าที่ตำรวจพูด ทำให้ตนเข้าใจได้ว่า ลูกสาวเล่นยาจนเสียชีวิตจริง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า หากขึ้นศาล ตำรวจจะเขียนในสำนวนคดีว่ายาเสพติดเป็นของลูกสาว ทำให้ตนเชื่อได้ว่าลูกสาวของตนผิดจริง ต่อให้สู้คดีไปก็แพ้อย่างแน่นอน และตอนนี้จะลุกขึ้นสู้อย่างเต็มที่ เพราะเนื่องจากตอนนี้มีเพื่อนของลูกสาวส่งข้อมูลและหลักฐานมาให้เป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญและไม่เคยตกลงข้อเสนอจากใครที่มีการหยิบยื่นเงินให้

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่กล่าวหาว่าน้องเสพยาเสพติดหรือไม่นั้น น.ส.อัญรัตน์กล่าวว่า ตอนนี้ขอดำเนินการเรื่องการเสียชีวิตของน้องสาวก่อน แต่ถ้าทราบว่าเพื่อนทั้ง 4 คนของน้องสาวเป็นใคร ก็จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกลับอย่างแน่นอน

นางเสาวนีย์กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้มีนายตำรวจท่านนี้ส่งไลน์มาบอกกับทางครอบครัวว่าไม่ให้ข่าวกับสื่อมวลชน แต่เป็นการพูดลักษณะปกติ ไม่ใช่การข่มขู่แต่อย่างใด แต่พอตนเองเห็นพยานหลักฐานและได้รับข้อมูลจากเพื่อนลูกสาว คิดว่ายังไงก็พร้อมที่จะเป็นข่าว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกสาว เชื่อมั่นว่าสื่อมวลชนจะเป็นที่พึ่งได้ เพิ่งเจอลูกสาวครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนจะกลับมาที่กรุงเทพ ลูกสาวยังได้กอดได้หอมและบอกรักกับคิดถึงตน ซึ่งตอนนั้นตนก็รู้สึกแปลกใจ เพราะปกติน้องจะไม่ค่อยกอดตน จะกอดพ่อเขามากกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอน้อง

ต่อมาแม่และพี่สาวของผู้เสียชีวิตหลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เดินออกมาจากห้องพนักงานสอบสวน น.ส.อัญรัตน์เปิดเผยว่า หลังจากพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็มีความรู้สึกสบายใจในระดับหนึ่ง เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเตรียมจะดำเนินการออกหมายจับลูกค้าชาวจีนที่อยู่กับน้องจนเสียชีวิต ยังมีข้อกังวลในเรื่องของพยานหลักฐานบางส่วน โดยเฉพาะแชทที่พูดคุยระหว่างโมเดลลิ่งผู้รับงานกับน้องที่ถูกลบไป รวมทั้งผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของน้องที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ระบุว่าจะออกภายในกี่วัน ซึ่งก็ต้องรอดูผลกันต่อไปว่าจะออกมาในแบบไหน สำหรับประเด็นเรื่องที่ว่ามีนายตำรวจเป็นแฟนของโมเดลลิ่งที่อาจจะช่วยเหลือทางคดีนั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่เท่าที่ทราบ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในท้องที่ สน.โชคชัย แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นตำรวจหน่วยไหนและตนก็ยังมีความกังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image