รองอธิบดีดีเอสไอคืบหน้าหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู่กับพวก ปมเอี่ยวขบวนการค้ามนุษย์-แก๊งคอล ไม่ถือเป็นการยืดเวลา เพราะต้องสอบสวนหลายประเด็นร่วมกับพนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ หารือข้อกฎหมาย
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 21 ก.พ. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ถนนแจ้งวัฒนะ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการหารือเรื่องสำนวนการสอบสวนระหว่างเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กองคดีค้ามนุษย์ และพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลอาญาออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู่ กับพวก ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ว่า ในเรื่องดังกล่าวดีเอสไอได้มีการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ซึ่งพนักงานสอบสวนในคดีได้มีการรายงานว่ายังอยู่ระหว่างการร่วมกันหารือเรื่องพยานหลักฐาน แต่ไม่ใช่ว่าหมายจับออกหรือไม่ออก
แต่เพียงแค่ว่ามีรายละเอียดภายในสำนวนค่อนข้างเยอะจึงต้องมีการร่วมกันดูเอกสารพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสอบสวนปากคำพยานมีค่อนข้างครบถ้วนแล้ว เพียงแค่ต้องเอาเอกสารทั้งหมดมาดูในประเด็นปัญหา ข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาร่วมกันว่ามันตรงหรือไม่ และเป็นไปตามที่ได้มีการหารือร่วมกันหรือไม่
ส่วนประเด็นว่าจะเป็นการไปยืดระยะเวลาการขอศาลออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู่ กับพวก ออกไปนานกว่าเดิมหรือไม่นั้น ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นลักษณะว่าพยานหลักฐานที่เราได้มารวมกันในสำนวนมันครบถ้วนหรือไม่ ถ้าครบถ้วนก็จะพิจารณา เพราะไม่ได้มีเพียง พล.ต.หม่อง ชิตตู่ เพียงรายเดียว แต่ยังมีคนอื่นรวมด้วยกว่า 10 ราย ซึ่งจะต้องมีการไล่เรียงทีละราย เพราะอยากย้ำว่าการพิจารณาการออกหมายจับควรที่จะออกในคราวเดียวกัน น่าจะเป็นการดีกว่าและจะเห็นทั้งกระบวนการ ส่วน 10 รายผู้ต้องหาที่ว่าจะเป็นใครบ้าง ตนขอละเว้นไว้ภายในสำนวนการสอบสวนก่อน
เนื่องจากคดีค้ามนุษย์ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน ทั้งนี้ ในประเด็นเรื่องการที่ผู้ต้องหามีพฤติการณ์เดินทางข้ามไป-มาระหว่างประเทศเมียนมากับประเทศไทย รวมถึงยังมีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์นั้น ดีเอสไอจะขยายผลดูในส่วนนี้อย่างไร ตนขอเรียนว่าเราจะตรวจสอบในภาพรวมทั้งหมด เพราะถ้ามีความผิดมูลฐานเกิดขึ้นแล้ว ก็จะได้ทำภาพรวมทั้งหมด จึงขอให้มีความชัดเจนเรื่องเอกสารและพยานหลักฐานก่อน โดยถ้ามีความผิดการค้ามนุษย์ ก็จะขยายผลไปเรื่องการฟอกเงินทางอาญาได้
ส่วนประเด็นที่มีข่าวนำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า ในการประชุมครั้งที่แล้ว พนักงานอัยการได้เดินทางกลับเลยนั้น ขอปฏิเสธ ว่า ไม่เป็นความจริง แต่พนักงานอัยการติดภารกิจฝากขังเรื่องคดีอื่นเร่งด่วน จึงต้องรีบกลับไปดูก่อน แต่ในส่วนเอกสารของคดีดังกล่าว พนักงานอัยการได้รับไปหมดแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ทางดีเอสไอและพนักงานอัยการจะได้มีการนัดหารือร่วมกันอีกครั้งในภายหลัง ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างไร จะรายงานให้สาธารณะได้รับทราบ เพราะตนทราบดีว่าสังคมให้ความสนใจ
ส่วนกรณีที่ พล.ต.หม่อง ชิตตู่ ได้มีความพยายามนำเสนอภาพการช่วยเหลือเหยื่อที่ตกอยู่ในพื้นที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประเทศเมียนมา จะมีผลอย่างไรต่อการพิจารณาออกหมายจับของดีเอสไอและพนักงานอัยการหรือไม่นั้น ตนขอยืนยันว่า คงไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะในการสอบสวน ว่ากันด้วยเรื่องพยานหลักฐานภายในสำนวน ถ้ามันเป็นพยานหลักฐานในสำนวนก็ทำไม่ได้ ต้องทำสำนวนไปตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวกัน ส่วนพฤติการณ์ที่ พล.ต.หม่อง ชิตตู่ กับพวก เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ย้อนหลังกี่ปีนั้น จากรายงานการสืบสวนทราบว่าจำนวนหลายปี แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียด อีกทั้งยังมีเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด จึงขอเก็บไว้เป็นความลับภายในสำนวนก่อน