ป.ป.ส. สนธิกำลัง ทหาร ขยายผลจับกุม ผตห. ตามหมายจับ ยึดทรัพย์กว่า 23 ล้าน
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด และ น.อ.ชยกร โชติพิทยานนท์ ผู้บังคับการกรมทหารสารวัตรทหารอากาศ แถลงผลจับกุม นายปัญจกิตต์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งมีบทบาทสำคัญเป็นผู้สั่งการของเครือข่ายไอซ์ข้ามชาติ และมีพฤติการณ์สั่งการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบจัดส่งไอซ์ไปประเทศที่สาม โดยเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลตรวจค้น จำนวน 2 จุด ได้แก่ บ้านพักและกิจการร้านกัญชา ในพื้นที่ กทม. สามารถยึดทรัพย์สินได้หลายรายการ อาทิ คอนโดมิเนียม กิจการร้านกัญชา รถยนต์หรู นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม อาร์ตทอย รวมมูลค่าประมาณ 23 ล้านบาท
เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวว่า การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและขยายผลปิดล้อมตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากคดีเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ส.ได้ร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ ทหาร และตำรวจ จับกุมเครือข่ายไอซ์ข้ามชาติ ผู้ต้องหา 5 คน พร้อมของกลางไอซ์ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 1.65 ตัน อยู่ในม้วนฝ้าย จำนวน 33 ม้วน โดยจับกุมได้ที่โกดังในพื้นที่แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ โดยในคดีนี้ สำนักงาน ป.ป.ส.ได้ดำเนินการติดตามเครือข่ายมาอย่างต่อเนื่อง
และได้สั่งการชุดปฏิบัติการของสำนักปราบปรามยาเสพติดร่วมกับชุดปฏิบัติการ ศอ.ปส.สน.บก.บก.ทท.และชุดปฏิบัติการ ศอ.ปส.ทอ.ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอย่างใกล้ชิดจนสืบสวนทราบว่า นายปัญจกิตต์ เป็นบุคคลสำคัญระดับผู้สั่งการของเครือข่ายไอซ์ข้ามชาติ ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่สาม และพบข้อมูลว่าเคยมีส่งออกสินค้าไปประเทศอังกฤษมาแล้ว 3 ครั้ง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายดังกล่าว จำนวน 4 ราย
ซึ่งมีบทบาทเป็นเจ้าของยาเสพติด/ผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการ หลังจากศาลอนุมัติหมายจับ เจ้าหน้าที่จึงวางแผนสืบสวนและดำเนินการจับกุมนายปัญจกิตต์ได้ที่บ้านพักอาศัยย่านพระราม 3 กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา และขยายผลตรวจค้นในพื้นที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 จุด ได้แก่ บ้านพักอาศัย และกิจการร้านกัญชา ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตรวจยึดทรัพย์สินหลายรายการ อาทิ คอนโดมิเนียม กิจการร้านกัญชา รถยนต์หรู นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม อาร์ตทอย รวมมูลค่าประมาณ 23 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าเครือข่ายดังกล่าวนำทรัพย์สินไปลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ประเภทบิตคอยน์และคริปโทเคอร์เรนซีอีกด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าการตรวจสอบค่อนข้างยากเพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่มีองค์ความรู้ ต้องขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบทรัพย์สินในสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ
เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวว่า ในคดีนี้ยังมีบุคคลในเครือข่ายอีก 3 คน ที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส.จะร่วมมือกับหน่วยงานภาคีสืบสวนติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และตรวจยึดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด โดยความสำเร็จของการจับกุมเครือข่ายดังกล่าวมาจากการบูรณาการทางด้านการข่าวระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวเกี่ยวกับเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง จนนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้านนายปฤณกล่าวว่า จากการสืบสวนทางการข่าวพบว่าต้นทางไอซ์มาจากแอฟริกาใต้ ปลายทางประเทศอินเดีย แต่ติดปัญหาการนำเข้าประเทศ จึงประสานเครือข่ายยาเสพติดในประเทศไทยเพื่อมาพักสินค้ารอส่งประเทศปลายทาง ซึ่งถือเป็นเคสแรก โดยมีกลุ่มผู้ต้องหาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือและอยู่ในขบวนการดังกล่าว ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ 3 คนที่เหลือเป็นคนไทยทั้งหมด โดยจะเร่งติดตามและยึดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดอย่างเด็ดขาด และจะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม
เบื้องต้นจึงได้แจ้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำเพื่อการค้า และความผิดสมคบกันฟอกเงิน