อินฟลูฯ-เจ้าของแบรนด์ กว่า 20 ราย ร้องกองปราบ ถูก เอเยนซี่ชื่อดังโกง เสียหายกว่า 20 ล้าน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 10 มีนาคม ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าของแบรนด์สินค้า กว่า 20 คน รวมตัวเข้าร้องทุกข์ หลังถูกบริษัทการตลาดเเห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว เบี้ยวเงินค่าจ้างรีวิวสินค้าและไม่ promote สินค้าตามการว่าจ้าง เสียหายกว่า 20 ล้านบาท
ด้าน น.ส.เขมิกา ฮุนตระกูล เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง และ น.ส.ดาวรัตณ์ เอียมสำอางค์ เจ้าของแบรนด์ สกินแคร์ เล่าว่า มีการเปิดบริษัททั้งหมด 3 ที่ โดยมี Mr.P ชื่อย่อ เป็นเจ้าเป็นบริษัทเอเยนซี่การตลาดทั้ง 3 แห่ง ปัจจุบันบริษัทตั้งอยู่ย่านลาดพร้าว โดย น.ส.เขมิการู้จักกับบริษัทดังกล่าวเมื่อปี 2565 และ น.ส.ดาวรัตณ์ รู้จักเมื่อปี 2566 และรู้จักบริษัทดังกล่าวผ่านการยิงแอดโฆษณาในโซเชียล เมื่อเห็นว่าน่าสนใจจึงได้มีการติดต่อไปที่บริษัทด้วยความที่เป็นเจ้าของแบรนด์จะลงทุนอะไรซักอย่างก็จะต้องให้เกิดความน่าเชื่อถือมากที่สุด จึงได้ติดต่อเข้าไปขอดูบริษัทซึ่ง ณ ตอนนั้นตั้งอยู่ย่านรัชดา พอไปดูก็พบว่ามีบริษัทจริงมีพนักงานจำนวน 40-50 คนกำลังนั่งทำงานอยู่ภายในบริษัท จึงได้ลงทุน
น.ส.ดาวรัตณ์ระบุว่า ได้มีการลงทุนกับบริษัทนี้ในสัญญาคือ 2 ล้านบาท เกี่ยวกับโปรดักต์สกินแคร์ ให้บริษัทเอเยนซี่นี้เป็นตัวการในการโปรโมตสินค้า ซึ่งทางบริษัทเอเยนซี่ก็อวดอ้างว่าหากมาลงทุนกับบริษัทเขาก็จะได้กำไรกลับคืนมา 8 ล้านบาท จึงได้มีการผลิตสินค้าดังกล่าวมา 6,000 ชิ้น ตามที่มีการคุยกันไว้ แต่ก็มีความ สงสัยเลยได้ถามกับตัวเจ้าของบริษัทว่าดีลที่คุยกันไว้สามารถทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งทางบริษัทก็อ้างอีกว่า เขามีแผนสำรอง โดยการจะจ้างดารามาจัดแฟนมีตและขายบัตร ควบคู่กับสินค้าไปด้วย ซึ่งก็อ้างว่าทำสำเร็จมาแล้วหลายเจ้า
แต่ก็ถูกโกงไม่ได้รับผลงานจากทางบริษัท จึงได้กลับไปดูที่บริษัทย่านรัชดาอีกครั้ง ปรากฏว่าตึกดังกล่าวถูกล็อก พอไปสอบถามเจ้าของตึกก็พบว่าทางเจ้าของบริษัทเอเยนซี่นั้นติดค่าเช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่ามาแล้วหลายเดือน ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ย่านลาดพร้าว
น.ส.เขมิการะบุว่า ตนเองทำสัญญากับบริษัทดังกล่าว 2 ส่วนคือ อีเวนต์และการตลาด ในส่วนของงานอีเวนต์นั้นมีได้งานบ้าง แต่กว่าจะได้งานก็ค่อนข้างลำบาก อย่างดาราที่มีการตกลงกันว่าจะให้มาโปรโมตแบรนด์ พอตนเองติดต่อไปที่ค่ายของดาราคนดังกล่าวก็พบว่าทางค่ายไม่ได้รับงานจากทางบริษัทเอเยนซี่นี้แล้ว เพราะมีปัญหาในเรื่องของการจ่ายค่าตัว เลยมองว่าทางบริษัทมีเจตนาในการหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น
ในส่วนของการตลาดในสัญญาฉบับนี้ทางแบรนด์ไม่ได้รับงานเลย เพราะเวลาได้ดูงานก็จะพบว่างานนั้นนำมาใช้ไม่ได้ เพราะทางบริษัทเอเยนซี่ชอบทำงานมาให้ทางแบรนด์ตำหนิ และมีการประวิงเวลา อีกทั้งบริษัทเอเยนซี่นี้ยังอ้างในส่วนของอินฟลูเอนเซอร์ว่าทำงานไม่เรียบร้อย ขอเวลาไปแก้ไขแล้วก็จะหายไป พอถึงเวลากำหนดก็จะอ้างว่าฝั่งอินฟลูเอนเซอร์นั้นเรื่องมากติดงานอื่นต้องรอเวลา แต่เมื่อผ่านไปสักพักทางอินฟลูเอนเซอร์ก็ติดต่อเข้ามาที่แบรนด์ว่างานมีปัญหาอะไรหรือไม่ ทำไมถึงยังไม่โอนเงินมาให้ทั้งที่ทำงานเสร็จไปเป็นเดือนแล้ว
ซึ่งตอนนั้นเธอก็รู้สึกสับสน เพราะได้จ่ายเงินก้อนดังกล่าวตามสัญญาให้กับบริษัทเอเยนซี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเธอยืนยันว่าเธอมีเอกสารการจ่ายเงินการทำสัญญาทั้งหมด จนถึงที่สุดแล้วเขาจะเป็นคนขอยกเลิกสัญญาเอง แต่ทางบริษัทเอเยนซี่ก็ยังทำเอกสารปลอม และอ้างว่าทางแบรนด์เป็นคนขอยกเลิกสัญญา เมื่อถูกทางแบรนด์ทวงถามเรื่องเงินและงานมากๆ ทางบริษัทเอเยนซี่ก็บอกว่าจะรับผิดชอบ แต่การรับผิดชอบนั้นจ่ายมาแค่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ทั้งที่ความเสียหายบางคนมีมูลค่าเป็นหลักแสนถึงล้านบาท
ซึ่งทางเจ้าของบริษัทก็บอกกับแบรนด์ว่าไม่หนีแน่นอน และอ้างว่าตอนนี้ตนเองทำธุรกิจล้ม แต่ตนก็ตั้งคำถามว่าล้มอะไร เมื่อรายรับของคุณแค่บัญชีเดียวคุณก็มีเงินหมุนเวียนในบัญชี 35 ล้านบาท อีกทั้งยังตั้งคำถามว่าทันทีที่ลูกค้าโอนเงินให้อีกวันนึงคุณก็จะไปเบิกเงินออกมาทันที คุณทำเพื่ออะไร ทั้งที่ไม่ได้เอาเงินไปทำงาน อีกทั้งกรมสรรพากรได้มีการเรียกเก็บภาษีที่บริษัทของสามีของตนที่มีการดีลงานกับบริษัทเอเยนซี่นี้ ปรากฏว่า ไม่พบว่าบริษัทดังกล่าวนี้จดทะเบียนกับสรรพากร
อยากให้สังคมรับรู้กระบวนการแบบนี้ เพราะตอนนี้ได้ยินว่ามีผู้เสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ และมีคนที่ใช้วิธีการแบบนี้ในการไปเอาเปรียบคนที่ทำมาหากิน เพราะอินฟลูเอนเซอร์ก็ทำงานเพื่อที่จะเอาเงินไปเลี้ยงดูครอบครัว หรือเอาไปเรียนหนังสือ พร้อมฝากไปถึงเจ้าของบริษัทว่า “อย่ามุดหัวหนีหายไป”
เธอยังเล่าอีกว่าทางเจ้าของบริษัทไปข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องคนอื่นจนทำให้ไม่กล้าเข้ามาแจ้งความ อย่างพนักงานภายในบริษัทของเขาก็ถูกข่มขู่ว่า “ไปฟ้องที่กรมแรงงานเขาไม่กลัว” เพราะทางเจ้าของบริษัทไม่จ่ายเงินให้กับพนักงานมาแล้วหลายเดือน จนทำให้พนักงานบางส่วนทยอยลาออก แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาแจ้งความเนื่องจากกลัวถูกฟ้อง
และได้ยินมาจากอดีตพนักงานของบริษัทเอเยนซี่ว่า ทางเจ้าของแบรนด์ตั้งใจที่จะทำให้งานของเธอนั้นล่ม ทั้งไม่จ่ายเงินค่าสถานที่ ไม่จ่ายเงินดาราที่จ้างมา นอกจากนี้ตนได้มีการจ้างบริษัทเอเยนซี่อื่นให้จัดอีกอีเวนต์ ซึ่งทางบริษัทคู่กรณีได้มีการส่งคนมาถ่ายรูปภายในงานและนำไปขึ้นในเพจอ้างว่างานนี้ทางบริษัทดังกล่าวเป็นคนทำเอง เป็นผลงานของบริษัทตนเอง
น.ส.อัมพาพันธุ์ คำคุณ อินฟลูเอนเชอร์ เพจแม่จ๋าๆ พามาตาไปเที่ยวหน่อย เล่าว่า ได้มีการรวมตัวกันระหว่างอินฟลูเอนเซอร์หลายคน และเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สินค้าชื่อดัง และได้มีการพูดคุยกันว่าเราจะทำยังไงให้คนอื่นๆ ที่เขาโดนเหมือนกันให้เขารู้ตัวว่าโดนหลอกแล้วก็ได้มีการโพสต์บนเพจส่วนตัวว่าโดนบริษัทนี้หลอก และบริษัทดังกล่าวก็ได้ติดต่อมาหาตนส่วนตัวว่าจะฟ้องอาญาว่าทำให้บริษัทเสียหาย
อีกอย่างเราก็แค่อยากจะออกมาเป็นกระบอกเสียงให้กับคนอื่นเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคุณ และจะได้รวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดที่ตกเป็นเหยื่อมาแจ้งความร้องทุกข์ด้วยกัน และยังได้มีการแอบอ้างว่าเคยจ้าง “หนุ่ม กรรชัย” มาโปรโมตสินค้าให้บริษัทด้วย แถมยังบอกอีกว่าถึงแม้เขาจะจ่ายเงินไม่ครบ แต่เขาก็ยังจ่ายอยู่ อีกทั้งยังบอกว่าไม่กลัวที่จะไปออกรายการโหนกระแส เราก็อยากให้เขาพูดทุกอย่างออกมาว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นสิ่งที่ผิดหรือเป็นสิ่งที่ถูก หรือว่าเราเข้าใจผิดไปเองแต่อยู่ที่ว่าเขาจะไปหรือไม่
ส่วนความเสียหายทั้งหมดที่ตนเสียไปคือตอนแรก 80,000 บาท และตนได้ฟ้องร้องไปแล้วต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ก็โดยรวมทั้งหมดก็ประมาณ 100,000 บาท และเงินที่ควรจ่ายให้กับอินฟลูเอนเซอร์ แต่เขาก็ไม่จ่ายกับหายตัวไปทั้งที่เขารับเงินมาจากเจ้าของแบรนด์เรียบร้อยแล้ว แต่เงินไม่ถึงมืออินฟลูเอนเซอร์และพนักงานในบริษัทเลย
นายเลิศฤทธิ์ จันทริมา และนายบุญรอด อารีย์วงษ์ จากช่องภูเขา ชาแนล ผู้ติดตาม 3 แสนคน เล่าว่า วันนี้ตนก็เป็นหนึ่งผู้เสียหายเหมือนกันที่จะมาแจ้งความในวันนี้ ยอดความเสียหายของตนอยู่ที่ 45,000 บาท ซึ่งก็ไม่ได้เป็นยอดเงินที่เยอะมาก แต่ตนอยากมาเป็นกระบอกเสียงให้กับอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ให้ระวัง โดยพฤติการณ์ของเขา คือจะทักมาทางไลน์ซึ่งเราทำงานมากับเอเยนซี่หลายคนไม่เคยเกิดปัญหาแบบนี้ จนมาเจอกับบริษัทเอเยนซี่ดังกล่าว เราจึงเชื่อใจไม่คิดว่าเขาจะมาหลอก
หลังจากได้มีการพูดคุยก็ได้มีการตกลงการทำงานเมื่อทำงานเสร็จก็ได้ส่งงานให้กับบริษัทดังกล่าวและได้ทวงถามเรื่องค่าจ้าง ทางบริษัทบอกว่าจะจ่ายให้ แต่ก็รอนานผิดปกติจึงได้ทักท้วงไปที่ทางบริษัท เขาเลยถ่ายหลักฐาน เป็นเช็คเงินสด และบอกให้ตนไปเช็กว่าเงินได้หรือยัง ซึ่งตนก็พยายามเช็ก แต่กลับไม่มีเงินเข้าในบัญชีเลย พอทวงถามไปมากๆ เขาก็ยอมรับว่าเช็คเงินสดแค่ถ่ายมาให้ดูเฉยๆ ยังไม่ได้เอาเงินไปเข้าให้ ถามเรื่องเงินบ่อยครั้งเขาก็โมโหแล้วบอกว่า “เขาเป็นประธานบริษัทเขาจ่ายเงินอย่างแน่นอน“
ซึ่งตนก็ตั้งคำถามว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือเป็นประธานบริษัทมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการที่คุณจะมาเบี้ยวเงินค่าจ้างของเรา และเราก็มีหลักฐานทุกอย่าง เขาก็มีการบ่ายเบี่ยงมาตลอดเวลา และเราทวงเงินมาประมาณหนึ่งปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เลย จึงได้ออกมาในวันนี้เพื่อที่จะมาแจ้งความแล้วก็เป็นกระบอกเสียงให้กับอินฟลูเอนเซอร์ หน้าใหม่หลายคนเรื่องของการรับงานว่าต้องเช็กให้ดี ก่อนรับงานว่าเอเยนซี่ที่จ้างเราน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
ด้านตัวเเทนผู้เสียหายอีกรายกล่าวว่า บริษัทนี้ส่วนใหญ่มีพฤติการณ์ให้ผู้เสียหายแต่ละรายแยกกันไปฟ้องร้อง เนื่องจากจะเข้าเป็นคดีแพ่ง พอเป็นเช่นนี้ทางบริษัทดังกล่าวก็จะไม่จ่ายเงินเช่นเดิม เพราะฉะนั้นในวันนี้ที่พวกเรามารวมตัวแจ้งความกัน ไม่ใช่เเค่อยากที่จะได้เงินคืนแต่ต้องการที่จะให้คู่กรณีได้รับกรรมกับให้ได้รับบทเรียนทางคดีอาญาด้วย