อัยการฟ้อง”บอส กระทิงแดง”27 เม.ย.เบี้ยวอีกประสานตร.ออกหมายจับ แจงเหตุคดีอืด 5 ปี(คลิป)

To view this video please enable JavaScript, and consider upgrading to a web browser that


เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 มีนาคม ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)แถลงข่าว ความคืบหน้าคดี นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ขับรถยนต์หรูพุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่จราจร สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ว่า พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ได้แจ้งให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานอัยการใน แต่เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมาผู้ต้องหาได้มอบอำนาจให้ทนายความมาขอเลื่อนคดีกับพนักงานอัยการ โดยอ้างว่าติดภารกิจที่ประเทศอังกฤษ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กรุงเทพใต้ ได้อนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 27 เมษายน

โดยนายประยุทธ กล่าวถึงที่มาของคดีนี้ว่า เดิมนายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ขณะนั้น ได้เคยมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาแล้ว หลังจากนั้นผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง หลังสุดได้ร้องขอความเป็นธรรมโดยให้สอบพยานอีกหลายปาก แต่พนักงานอัยการได้สั่งยุติหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาและแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งฟ้องเดิมที่สั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควรและแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที พร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้นายวรยุทธ มาพบพนักงานอัยการ เพื่อทราบคำสั่งและส่งฟ้องในวันที่ 25 เมษายน 2559

Advertisement

ปรากฏว่าเมื่อพนักงานอัยการได้แจ้งไปยังผู้ต้องหาแล้ว วันที่ 12 เมษายน 2559 ผู้ต้องหาได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นหนังสือกับพนักงานอัยการขอเลื่อนคดี อ้างว่าติดธุระอยู่ต่างประเทศ พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบการดำเนินคดีจึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 พร้อมกับกำชับให้ผู้ต้องหามาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัด

แต่พอครั้นถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงมีหนังสือแจ้งไปที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ไปดำเนินการติดตามเอาตัวผู้ต้องหาเพื่อส่งฟ้องต่อศาลซึ่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อก็ได้แจ้งผลการติดตามตัวผู้ต้องหาว่า ผู้ต้องหาได้ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานอัยการออกไปก่อน เนื่องจากได้ไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมผู้ชำนาญการพิเศษในประเด็นเรื่องความเร็วของรถ ซึ่งพนักงานอัยการก็ได้พิจารณา ยืนยันให้พนักงานสอบสวนไปติดตามตัวผู้ต้องหามาส่งให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องต่อศาลภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2559 แต่ภายหลังผู้ต้องหามีหนังสือเลื่อนการเข้าพบ โดยอ้างว่าอยู่ระหว่างร้องขอความเป็นธรรมไปที่สนช.เช่นเดิม ซึ่งพนักงานอัยการยังคงยืนยันให้ผู้ต้องหามาพบเพื่อส่งฟ้องต่อศาล และมีหนังสือลงวันที่ 12 ตุลาคม 2559 แจ้งไปยังพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้นำตัวผู้ต้องหามาพบแต่ตัวผู้ต้องหาก็ยังอ้างเหตุเดิม จนวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 ผู้ต้องหามีหนังสือถึงพนักงานอัยการแจ้งขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดภารกิจอยู่ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรต

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 คณะกรรมาธิการการกฎหมาย ฯ สนช.ได้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ในวันเดียวกันผู้ต้องหาก็ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อให้สอบปากคำพยานผู้ชำนาญการพิเศษโดยอ้างว่าตนเองไม่ได้ขับรถเร็วตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบการดำเนินคดีในรูปของคณะทำงานได้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ ผลการสอบสวนเพิ่มเติมพนักงานอัยการล่าสุดพนักงานอัยการได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว จนนัดตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 27 เมษายน นี้

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามเหตุการณ์ที่ผ่านมานาน 5 ปี แล้วการดำเนินคดีกับกรณีนี้ยังไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องต่อศาล เป็นการประวิงเวลาหรือไม่นายประยุทธว่า เนื่องจากมีการขอความเป็นธรรมหลายครั้ง แต่การที่จะร้องขอความเป็นธรรมนั้นอัยการต้องดูเหตุที่อ้างว่าเลื่อนลอยหรือไม่ กรณีนี้มีการร้องต่อคณะกรรมาธิการการฯ สนช. ถ้าไม่สอบเพิ่มเติมให้ ก็อาจถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ประเด็นที่ นายวรยุทธได้ร้องขอความเป็นธรรมมาก่อนหน้านี้ อัยการก็ได้พิจารณาสอบเพิ่ม ตามที่ร้องขอไม่ว่าจะเป็นเรื่องความประเด็นเรื่องความเร็วของรถ ที่ไปร้องต่อคณะกรรมาธิการฯ สนช. เรียกได้ว่าคดีใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จนปัจจุบันนี้อัยการก็ยังคงมีคำสั่งให้ฟ้อง นายวรยุทธ โดยในวันที่ 27 เมษายน ที่อัยการนัดให้ผู้ต้องหาพบเพื่อส่งตัวฟ้อง นั้นถ้ามีการอ้างเหตุผลเลื่อนลอย ก็จะประสานพนักงานสอบสวนออกหมายจับเพื่อนำตัวมาดำเนินคดี โดยจะไม่สามารถอ้างเหตุผลเดิมได้อีกแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จากคดีนี้ที่มีการดำเนินคดีค่อนข้างล่าช้ากระทบต่อภาพลักษณ์ต่ออัยการสูงสุดหรือไม่ และข้อสงสัยที่ว่าอัยการที่ทำสำนวนนี้ตั้งแต่ต้นถูกโยกย้ายหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดต้องยอมรับการตรวจสอบ แต่ตามที่ได้ไล่เรียงขั้นตอนต่างๆจะเห็นได้ว่าอัยการไม่ได้เพิกเฉย ซุกสำนวนแต่อย่างใด โดยเรายึดหลักว่าความล่าช้ากระทบต่อความยุติธรรม แต่เหตุที่คดีนี้ล่าช้าเพราะว่าผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายครั้งอัยการก็ต้องรอสอบให้สิ้นกระแสความ แต่ถ้าไม่มีประเด็นเพิ่มเข้ามาอีกก็น่าจะยุติได้ ตนคิดว่ายิ่งผู้ต้องหานามสกุลดัง กลับยิ่งเป็นที่จับตามองของสังคมมากกว่า เรื่องนี้สังคมจะเข้าใจ ส่วนเรื่องที่ย้ายอัยการนั้น ยืนยันว่าไม่มีย้ายอัยการเพราะทำคดีนี้แน่นอน โดยปกติก็มีการโยกย้ายอัยการตามวาระทุกปี

เมื่อถามว่าคดีของ นายวรยุทธที่จะทยอยหมดอายุความจะมีผลกระทบต่อการสืบเจตนาการกระทำผิดในชั้นศาลหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า แม้ข้อบางข้อหาจะหมดอายุความไปแล้ว แต่ในการสืบพยานในชั้นศาลก็จะมีการนำสืบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น การหมดอายุความในบางข้อหาไม่ส่งผลกระทบต่อรูปคดี ซึ่งคดีนี้ยังมีเหลือ 2 ข้อหาคือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีอายุความ15 ปี และจะหมดอายุความในเดือนกันปี 2570 ส่วนคดีไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งต่อเจ้าหนักงานในทันทีชนแล้วหนีคดีนี้อายุความ 5 ปี จะขาดอายุความภายในวันที่ 3 กันยายน 2560 นี้ ซึ่งพนักงานอัยการจะกำชับให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องได้ก่อนหมดอายุความ

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ทำไม่ไม่เคยประสานขอให้ตำรวจออกหมายจับ นายประยุทธ กล่าวว่า เรื่องที่นายวรยุทธไม่มาพบอัยการก็มีการอ้างเหตุ และร้องขอความเป็นธรรม บางเรื่องที่ร้องมามันมีเหตุผลให้ต้องสอบสวนบางเรื่องแต่ขณะนี้เมื่อมีการสอบเสร็จสิ้นแล้วหากยังไม่มาทางอัยการก็จะประสานตำรวจเพื่อออกหมายจับเพื่อส่งตัวผู้ต้องหา ส่วนในกรณีที่ผู้ต้องหายังอยู่ต่างประเทศและจะไม่มาพบอัยการนั้นหากมีการออกหมายจับก็จะจะสามารถถึงขั้นตอนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งเรามีอัยการสำนักงานต่างประเทศคอยดูแลเรื่องนี้อยู่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image