เมื่อวันที่ 7 เมษายน นายนิกร ทัสสโร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ศาลยุติธรรม มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นคำขอในส่วนแพ่งคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่พนักงานอัยการฟ้องนายปกิต กิระวานิช อายุ 81 ปี อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม , นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์พิบูรณ์ อายุ 66 ปี อดีตรองอธิบดี คพ. และนางยุวรี อินนา อายุ 56 ปี ผอ.กองจัดการคุณภาพน้ำ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในคดีหมายเลขดำ 1682/2557 และศาลอาญา โดยองค์คณะแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ มีคำพิพากษาวันที่ 17 ธันวาคม 58 ให้จำคุกคนละ 20 ปี ฐานเป็นเจ้าหน้าที่มีหน้าที่จัดซื้อ ทำ จัดการรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ร่วมกันเอื้อประโยชน์ให้ใช้ที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ฟิชเชอรี่ จำกัด บริษัทในเครือการก่อสร้างโครงการ และเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี (NVPSKG JOINT VENTURE) ให้ได้รับการคัดเลือกเข้าทำสัญญาโครงการกับกรมควบคุมมลพิษ รวมทั้งให้ผ่านคุณสมบัติในการประกวดราคา และเพิ่มวงเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลจากกรณีที่จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่าคำขอส่วนแพ่งที่ คพ.หน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหาย และให้จำเลยชดใช้นั้น เป็นอำนาจของศาลปกครอง แต่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่าคำขอส่วนแพ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากคดีมีมูลเหตุการทุจริตจนนำไปสู่การไต่สวนและการดำเนินกระบวนการต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องมาตรการปราบปรามการทุจริต เป็นการกระทำความผิดทางอาญาเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองที่จะเป็นการทำละเมิดทางปกครอง คณะกรรมการฯ จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า
คดีระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ , คพ. ผู้ร้อง และ นายปกิต กิระวานิช , นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์พิบูรณ์ และนางยุวรี อินนา จำเลยทั้งสาม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เมื่อเป็นดังนี้ คดีส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการทุจริตจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง แต่ส่วนคดีที่เกี่ยวกับการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าของรัฐโดยแท้ที่ไม่มีการทุจริต ก็เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง
นายนิกรกล่าวถึงขั้นตอนต่อไปว่า เมื่อคณะกรรมการฯ วินิจฉัยให้คดีเกี่ยวกับการทุจริตโครงการคลองด่านอยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรมเช่นนี้แล้ว จากนี้ศาลยุติธรรมก็จะดำเนินการตามรูปคดีต่อไป โดยคดีนี้ในส่วนอาญา จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว สำหรับในรายละเอียดส่วนแพ่งของค่าเสียหายนั้น คพ.ขอให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายทั้งที่เป็นเงินบาท และเงินสกุลเหรียญสหรัฐ รวมประมาณ 8,430 ล้านบาทซึ่งกระบวนพิจารณาที่เป็นส่วนคำขอทางแพ่งนั้น หากจำเลยแต่งตั้งทนายความไว้แล้ว ในการไต่สวนจำเลยจะไม่มาศาลก็ได้
เมื่อถามถึงการฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่ง นายนิกร กล่าวว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และวิธีพิจารณาคดีทุจริตฯประกอบกัน บัญญัติให้การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ซึ่งคดีนี้ส่วนอาญา ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิด ดังนั้นการวินิจฉัยคำขอส่วนแพ่ง ศาลจะไต่สวนเพื่อให้ได้ความจริงต่อไปว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นส่วนใดบ้าง มีเพียงใด และจำเลยทั้งสามแต่ละคนต้องรับผิดต่อรัฐ อย่างไร เพียงใด
เมื่อถามว่า หากศาลมีคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ออกมาว่าจะต้องให้จำเลยทั้งสามชดใช้แล้ว จำเลยยังมีสิทธิอุทธรณ์-ฎีกาผลคดีได้อีกหรือไม่
นายนิกร ตอบว่า ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งมีหลักว่า การอุทธรณ์ หรือการฎีกานั้นสามารถดำเนินการได้ แต่ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ชำระ มาวางศาลด้วย และการอุทธรณ์ก็ ไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษา เว้นแต่ว่าผู้อุทธรณ์ได้วางเงินต่อศาลจำนวนเงินที่พอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษา หรือหาประกันมาให้ศาล มิเช่นนั้นก็จะถูกยึด หรืออายัดทรัพย์