‘ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน’ สโลแกนที่กลายเป็นกับดักของกระบวนการยุติธรรม

ในสังคมยุคใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการยุติธรรมจากฐานราก สิ่งสำคัญที่ต้องเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ วัฒนธรรมองค์กรของตำรวจ ที่มีวลีหนึ่ง มักถูกกล่าวถึงและฝังรากลึกในจิตสำนึกของตำรวจหลายรุ่น นั่นคือคำว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” ซึ่งแม้จะฟังดูเหมือนคำขวัญที่ส่งเสริมความภักดี ความรักองค์กร และความสามัคคีในหมู่พี่น้องตำรวจ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว คำขวัญนี้อาจกลายเป็น อุปสรรคสำคัญต่อหลักนิติธรรม และความยุติธรรมในสังคม
เป็นความภักดีที่บิดเบี้ยวหรือไม่

“ไม่ฆ่าน้อง” อาจหมายถึงการอุ้มชูดูแล หาทางหนี ทีไล่ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำความผิด พลาดท่าในการปฏิบัติหน้าที่ หรือมีผลประโยชน์ร่วม แต่ไม่ต้องการให้น้องต้องโดนลงโทษ หรือจับได้ ไล่ทัน ซึ่งอาจจะรวมถึงความพยายามปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ใช้งานผู้ใต้บังคับบัญชาได้ต่อไป

“ไม่ฟ้องนาย” อาจถูกตีความว่าเป็นการไม่หักหลังผู้บังคับบัญชา ไม่กล่าวโทษแม้นายจะทำผิด เป็นการรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบแนวตั้งที่แน่นแฟ้นเกินไป และนำไปสู่ วัฒนธรรมการปกปิดความผิด เพราะไม่มีใครกล้าตรวจสอบหรือตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ

“ไม่ขายเพื่อน” หมายถึงการไม่เปิดโปงพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน แม้รู้ว่าเขาทำผิดก็ตาม ซึ่งหากเกิดขึ้นในองค์กรบังคับใช้กฎหมาย ย่อมหมายถึงการสมรู้ร่วมคิดในการละเมิดกฎหมายเสียเอง

กระบวนการยุติธรรมต้องการความจริง ไม่ใช่ความจงรักภักดีแบบไร้ขอบเขต
การทำงานของตำรวจคือการเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่การสืบสวน จับกุม และสอบสวน หากตำรวจปิดบังความผิดของกันและกัน ไม่กล้าเปิดโปงพฤติกรรมทุจริต ย่อมทำให้การสอบสวนบิดเบือน หลักฐานสูญหาย ผู้กระทำผิดรอดพ้น และผู้บริสุทธิ์อาจกลายเป็นเหยื่อของความล้มเหลวในระบบ ซึ่งก็จะรวมถึงการเปิดช่องทางทำมาหากินกันในหมู่พวกพ้องกันได้ด้วย

ADVERTISMENT

ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

คำขวัญนี้ส่งผลโดยตรงต่อกรณีการใช้ความรุนแรงในการควบคุมตัวผู้ต้องหา การซ้อมทรมาน การแจ้งข้อหาเกินจริง หรือแม้แต่การฆ่าตัดตอน เมื่อมีตำรวจส่วนน้อยพยายามจะเปิดโปง กลับถูกกีดกัน ถูกโยกย้าย หรือกลายเป็น “คนทรยศ” ในสายตาเพื่อนร่วมงาน สิ่งเหล่านี้คือ การทำลายกลไกตรวจสอบภายใน และขัดขวางการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน
ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

องค์กรตำรวจจำเป็นต้องทบทวนวัฒนธรรมภายในอย่างจริงจัง ความสามัคคีในองค์กรต้องไม่อยู่เหนือความถูกต้องและหลักนิติธรรม การตรวจสอบกันเองต้องได้รับการส่งเสริม ไม่ใช่ถูกตีตราว่า “ขายเพื่อน” หรือ “ฟ้องนาย”

หากตำรวจคนหนึ่งเห็นเพื่อนร่วมงานใช้ความรุนแรงต่อประชาชน เขาควรได้รับการยกย่องเมื่อลุกขึ้นมาพูด ไม่ใช่ถูกลงโทษหรือทำให้กลายเป็นคนนอก

ดังนั้น คำว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” อาจเคยเป็นเพียงคำขวัญที่ใช้เรียกขวัญกำลังใจในอดีต แต่ในบริบทของการปฏิรูปตำรวจและการสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนเชื่อถือได้ คำขวัญนี้กลับกลายเป็น สัญลักษณ์ของการปกปิด ปกป้อง และปล่อยให้ความผิดดำรงอยู่โดยไม่มีผู้รับผิดชอบ

ถึงเวลาสร้างวัฒนธรรมตำรวจแบบใหม่

ในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง ตำรวจก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีหน้าที่ปกป้องประชาชนคนอื่นจากอำนาจที่ไม่ชอบธรรม ไม่ว่าจะมาจากใคร การที่ตำรวจมีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ซื่อสัตย์ และไม่เลือกปฏิบัติ จะเป็นรากฐานที่มั่นคงของสังคมที่มีระเบียบและมีศรัทธาต่อระบบยุติธรรม

แต่หากปล่อยให้วัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมที่ส่งเสริมการภักดีต่อ “คน” มากกว่าภักดีต่อ “หลักการ” ยังคงดำรงอยู่ เช่น การไม่กล้าเปิดโปงความผิดภายใน หรือการใช้อำนาจเกินขอบเขต เราจะไม่มีวันสร้าง “บรรทัดฐาน” ที่เที่ยงตรงและยั่งยืนได้เลย

วัฒนธรรมใหม่ของตำรวจต้องยืนอยู่บนหลัก 3 ข้อสำคัญ

1. ความโปร่งใสและตรวจสอบได้
ตำรวจต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงในนามหรือบนกระดาษ การรับฟังเสียงสะท้อนและข้อร้องเรียนจากสาธารณะอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้

2. ความเป็นกลางและไม่เลือกปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองธรรมดา นักการเมือง หรือชาวต่างชาติ ตำรวจต้องใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม และเพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองอยู่ภายใต้การดูแลของระบบยุติธรรม ไม่ใช่ตกเป็นเหยื่อของความเลวร้าย

3. ความเมตตาและการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ตำรวจไม่ควรเห็นประชาชนเป็น “ผู้ต้องสงสัย” จนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัด การให้เกียรติผู้ถูกควบคุมตัว ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาส เป็นหลักการสำคัญของสังคมที่มีคุณธรรม

การปฏิรูปวัฒนธรรมตำรวจ  เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และดึงภาพลักษณ์ที่ดีกลับมา

บ่อยครั้งที่เรามองว่าวัฒนธรรมองค์กรของตำรวจเป็นเรื่อง “ภายใน” ของหน่วยงาน แต่ความจริงมันเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลโดยตรงต่อ เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศ

หากนักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย เชื่อมั่นว่าจะไม่ถูกรีดไถหรือเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ พวกเขาจะกล้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ยิ่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจไทย และหากนักลงทุนเชื่อว่าไทยมีกฎหมายที่บังคับใช้อย่างตรงไปตรงมาตามมาตรฐานสากล ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง จะทำให้มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก

หากประชาชนไทยมีศรัทธาในตำรวจ เขาจะกล้าแจ้งความ ดำเนินคดี และร่วมมือกับรัฐอย่างเข้มแข็ง ลดความรุนแรง ลดการลุกฮือ และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ในระยะยาว