เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 มิถุนายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร และนายพริสร สุขประเสริฐ เจ้าหน้าที่ชำนาญการ กรมศุลกากร ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากร ขณะนี้ทางกรมศุลกากรได้ส่งข้อมูลประเมินภาษีรถยนต์32คัน มาให้กับดีเอสไอแล้ว หลังจากนี้จะนำข้อมูลไปประกอบสำนวนการสอบสวนและเรียกผู้เกี่ยวข้องมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอปราบปรามขบวนการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากร และสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง รวมทั้งกระบวนการรถจดประกอบผิดกฎหมาย โดยบูรณาการกับกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีผลการดำเนินการ คือ 1.สืบเนื่องจากกรณีดีเอสไอได้เข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 และ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา สามารถอายัดรถยนต์สมรรถนะสูง หรือซุปเปอร์คาร์ไว้เพื่อตรวจสอบ 122 คัน เป็นรถยนต์หลายยี่ห้อ เช่น ลัมโบร์กินี, โรสลอยด์ แมคคาเรน และโลตัส จากกรณีดังกล่าว ดีเอสไอมีการดำเนินการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการประสานข้อมูลกับทางการประเทศต้นทางของรถยนต์ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่แท้จริงเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลรถยนต์ที่ได้จากการตรวจค้นมาเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้จากต่างประเทศพบว่า มีการสำแดงบัญชีราคาสินค้า หรืออินวอยซ์ของรถยนต์ 32 คัน ต่อกรมศุลกากรไม่ตรงกับราคาสินค้าที่มีการซื้อขายที่แท้จริงที่ได้รับมาจากประเทศผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้า ดีเอสไอขอให้กรมศุลกากรประเมินราคารถยนต์เบื้องต้น ตามเอกสารหลักฐานของดีเอสไอประกอบด้วย รถยนต์ ยี่ห้อลัมโบร์กินี่ 31 คัน และรถยนต์ ยี่ห้อเล็กซัส 1 คัน กรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียด การคำนวณภาษีรถยนต์กลับมายังดีเอสไอแล้ว 30 คัน พบว่ามีมูลค่าภาษีขาด รวมทั้งสิ้น 650 ล้านบาท จะต้องดำเนินการกับผู้กระทำผิดต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า 2.จากการสืบสวนสอบสวนขยายผล พบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่ามีรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี รุ่นเอเวนทาดอร์ ที่ส่งออกจากสหราชอาณาจักรและนำเข้ามาในราชอาณาจักร 11 คัน เป็นรถยนต์รุ่นใหม่และมีราคาสูง แต่พบว่าในขั้นตอนพิธีการศุลกากรกลับนำหลักฐานไปสำแดงกับกรมศุลกากรเพื่อชำระภาษีอากรขาเข้าเป็นรถยนต์ ยี่ห้อลัมโบร์กินี รุ่นเกลลาโดร์ เป็นรถยนต์รุ่นเก่าและมีราคาถูกกว่า เบื้องต้นพบพฤติกรรมดังกล่าว 8 คัน เป็นการสำแดงเท็จ เป็นเหตุให้ภาษีอากรขาเข้าที่ต้องชำระขาดประมาณ 132 ล้านบาท เราจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า กระบวนการนี้เป็นการใช้เทคนิคใหม่ คือการเปลี่ยนรุ่นตอนชำระภาษีอากรเข้า ก่อนไปนำรถยนต์กลับไปจดทะเบียนที่กรมขนส่งทางบกเป็นรถยนต์รุ่นใหญ่และราคาแพงเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนที่นำเข้ามานั้น มีการแจ้งเปลี่ยนรุ่นเพื่อจะได้ชำระภาษีอากรให้น้อยลง เรากำลังตรวจสอบว่ามีรถยนต์กี่คันที่ทำแบบกระบวนการนี้ และ 3.ได้ดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติม พบรถลัมโบร์กินีจดประกอบ 2 คัน น่าเชื่อว่านำเข้ามาในราชอาณาจักรทั้งคัน โดยมีขบวนการปลอมแปลงเอกสารว่านำเข้ามาเป็นชิ้นส่วน เช่น มีบริษัทนำเข้าตัวถัง 300,000 บาท บริษัทนำเข้าเครื่องยนต์ 38,000 บาท เป็นเครื่องยนต์ของรถยนต์ ลัมโบร์กีนี รวมแล้วรถยนต์ 2 คันนี้หลังจากที่ทำเรื่องเป็นรถยนต์จดประกอบก็เสียภาษีอากรเพียง 900,000 กว่าบาท และเมื่อคำนวณภาษีอากรขาดแล้ว เบื้องต้นคันละเกือบ20ล้านบาท
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวด้วยว่า และส่งต่อให้บริษัทรถยนต์นำไปเสียภาษีสรรพสามิต เพื่อนำไปขอจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก ราคารถจดประกอบจะเสียภาษีเป็นชิ้นส่วน โดยมีการเรียกเก็บภาษีเพียงร้อยละ80 จากราคาที่สำแดง ขณะที่รถนำเข้าทั้งคันจะมีการเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึงร้อยละ328 จากราคาที่ซื้อ ขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทต่างๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายต่อไป
“จะพบว่าโมเดลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดเฉพาะโมเดลการสำแดงราคาต่ำเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่มีการแปลงรุ่นรถยนต์เพื่อทำกระบวนการทุกอย่างเพื่อให้การเสียภาษีต่ำ และวันนี้หนักเข้าไปใหญ่ คือ เอาไปเป็นรถยนต์จดประกอบเลย ดังนั้น จึงเท่ากับว่าขณะนี้มีโมเดลการนำเข้ารถยนต์เพื่อเสียภาษีต่ำ คือ โมเดลรถยนต์จดประกอบ อีกโมเดลคือแจ้งรถรถยนต์ใหญ่ ราคาแพง ตอนนำเข้าเสียภาษีขอให้เป็นรถยนต์รุ่นเล็ก ก่อนกลับไปจดทะเบียนใหม่เป็นรถยนต์รุ่นใหญ่” รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าว
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการดำเนินคดีนั้น เบื้องต้นเราจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการผู้นำเข้าที่มีการนำรถยนต์เข้ามา ส่วนผู้ครอบครองที่ซื้อไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หมายความว่าไม่ทราบว่ารถยนต์ภาษีอากรขาด ดังนั้นเราก็มองว่าผู้ครอบครองส่วนหนึ่งเป็นผู้เสียหายด้วย เราจึงจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการผู้นำเข้าก่อน ส่วนกรณีที่จะมีเงินจ่ายภาษีอากรขาดหรือไม่นั้น ตรงนี้ทางกฎหมายของกรมศุลกากรโทษบัญญัติไว้ทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ทั้งนี้ กรณีของนายอินทระศักดิ์ เตชธีรสิริ หรือบอย ยูนิตี้ นั้น จากการตรวจสอบพบว่ามีรถยนต์ที่หลบเลี่ยงภาษีอากรอยู่ไม่ถึง10คันจาก 32 คัน ที่เหลือเป็นรถยนต์จากหลายบริษัท โดยพบว่าเป็นทั้งบริษัทนำเข้าเกรย์มาร์เก็ตและบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่ถูกต้อง โดยดีเอสไอจะต้องดำเนินการออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาษีอากรขาดไปประมาณ 650 ล้านบาทนั้น ขาดไปในขั้นตอนไหน พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ขออธิบายว่า มีรถยนต์สำแดงราคาตอนนำเข้า 1 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบจากราคาแท้จริงจากประเทศต้นทางแล้วพบว่ามีราคา 7 ล้านบาท ดังนั้น ส่วนต่างระหว่าง 1 กับ 7 จึงหายไป 6 ล้านบาท เมื่อเวลาคำนวณภาษีอากรแล้วจะต่างกัน ทำให้ภาษีอากรที่จะเข้ารัฐหายไป 6×328 เท่ากับ 24 ล้านบาท แต่ผู้นำเข้าได้จ่ายเพียงส่วนหนึ่งคือ 4 ล้านบาท ดังนั้น ภาษีที่เหลือก็คือ 20 ล้านบาท
พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ เตรียมจะส่งข้อมูลรถยนต์อีกประมาณ 300 คัน อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดทั้งตัวเลขเครื่อง เลขคัตซี ให้ชัดเจน จึงอาจจะเกิดความล่าช้า โดยรถยนต์จำนวนดังกล่าว เป็นรถยนต์จากเมืองนอกและอยู่ในกลุ่มที่เราอายัดไว้ มีบางคันไปอยู่ในมือผู้ครอบครองแล้วด้วย เป็นข้อมูลรถยนต์ที่เราดำเนินการตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม เรายืนยันว่าหากพยานหลักฐานไปถึงใครหรือทราบว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดเราจะดำเนินการตามกฎหมายเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของการสำแดงภาษี ที่บริษัทนำเข้ายื่นข้อเสนอให้มีการปรับลด และให้ยึดราคาขายหน้าเว็บไซต์ นายกุลิศ กล่าวว่า ที่จริงแล้วกรมศุลกากร รับข้อเสนอนั้นมาพิจารณา เพราะถ้าเพดานเก็บภาษี 328 เปอร์เซ็นต์ สูงเกินไปแล้ว มีการทำผิดหลบเลี่ยงรัฐไม่สามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย กับถ้าหากมีกาปรับลดในอัตราที่เหมาะสมรับได้ แล้วรัฐเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นเรื่องที่ดีกว่า ตนได้มอบหมายให้สำนักอัตราพิกัดภาษี ไปศึกษาในเรื่องนี้
นายกุลิศ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่ดีเอสไอตรวจพบว่ามีการสำแดงรุ่นรถยนต์ผิดนั้น ได้ไปตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทำผิดจริง จึงได้ลงโทษด้วยการไล่ออกไปแล้ว ทั้งนี้ กรมศุลกากรไม่ได้นิ่งนอนใจและได้มีการตรวจสอบมาตั้งนานแล้ว โดยพบว่าบางรายมีชื่ออยู่ใน 108 คน ที่กำลังถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบอยู่ด้วย ส่วนมีเจ้าหน้าที่ถูกไล่ออกแล้วจำนวนเท่าไหร่นั้น ตนไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีบริษัทที่นำเข้าระบุว่าใช้ราคาส่วนลด ที่ได้รับ และหักลดตามอัตราประกาศของกรมศุลกากรที่ 317/2547 ก่อนมาคูณกับราคาภาษีอากร 328 เปอร์เซ็นต์ นายกุลิศ กล่าวว่า อันนั้นเป็นเรื่องที่บริษัทคิด ขั้นตอนของกรมศุลกากรใช้นั้น จากประกาศกรมศุลกากรที่ 317/2547 เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ในการใช้เทียบเคียงราคา ความเหมาะสม เพราะไม่ได้สิ่งที่ศุลกากรพิจารณา คือการยื่นเอกสารสำแดงราคาจากผู้ซื้อผู้ขาย ไม่ได้หมายความว่าราคาหน้าเว็บไชต์จะเป็นราคาที่คิด เพราะกรมศุลกากรต้องดำเนินการตามGAT นอกเหนือจากนี้ไม่ได้ ตอนนี้สั่งการให้มีการทบทวนคำสั่งดังกล่าว คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ เพราะเมื่อก่อนราคาอาจจะสูงเกินจริง จึงต้องมีการหักถอนส่วนลดต่าง แต่ปัจุจับนการซื้อขายค่อนข้างเรียลไทม์ ตรวจสอบได้เร็วขึ้นดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
เมื่อถามว่า สำหรับเกณฑ์ใหม่ของประกาศ 317/2547 จะส่งผลกับการนำเข้าก่อนหน้านี้หรือไม่ นายกุลิศ กล่าวว่า คงต้องเดินหน้าต่อไปไม่ย้อนหลัง แต่เมื่อเกิดเหตุนี้แบบนี้เกิดขึ้น ต้องดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ตอนนี้สั่งการให้มีการตั้งทีมจากส่วนกลางเข้าไปให้ แต่ท่าแต่ละด่านตรวจสอบด้วยความรอบคอบตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น ให้ประเมินราคาที่ใกล้เคียงตามความเป็นจริง มากที่สุด ระหว่างที่ปรับปรุงแก้ไขประกาศ และให้เกิดความเป็นธรรม เพราะรถยนต์มีการนำเข้าตลอด ตอนนี้ที่ท่าเรือแหลมฉบัง มีเจ้าน้าที่ประจำท่าเรือ และส่วนกลางจากรมศุลากรร่วมกันวิเคราะห์ราคาให้สมเหตุสมผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดีเอสไอได้นำตารางเปรียบเทียบราคาภาษีอากรขาด ที่รถยนต์32 คันที่ต้องชำระเพิ่ม พบว่า รถยนต์ห้อยี่ห้อ เลกซัส LFA COUPE ปี 2012 สำแดงราคาประมาณ 2 ล้านบาท จากราคาที่ดีเอสไอตรวจสอบพบ ราคา กว่า18 ล้านบาท ดังนั้นยอดรวมภาษีขาดทั้งสิ้น กว่า 52 ล้านบาท ส่วนรถยนต์ลัมโบร์กินี รุ่น AVENTADOR LP720-4 50 Anniversario Coupe ภาษีขาดประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนรุ่น AVENTADOR LP700-4 Roadster ภาษีขาดประมาณ 25 ล้านบาท
