จากกรณีเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด โดยลอตแรก เป็นการทุจริตงบอุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 12 วัด ตั้งแต่ปี 55-59 ความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท ผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน ปปป.นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่2รวม 14 จุด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ขอนแก่น ระนอง สิงห์บุรี นครปฐม และสมุทรสาคร เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงกระบวนการทุจริตเงินทอนวัด และพบว่าเป็นการทุจริตงบประมาสอุดหนุน 3 ประเภท คือ 1.อุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2.อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3.อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 55-60 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท จนมีหลักฐานความผิดถึงตัวผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย และได้ทำสำนวนส่งปปช.ไปเมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ต.อ.วรายุทธ สุขวัฒน์ รองผบก.ปปป. กล่าวว่า ทางปปป.ส่งสำนวนไปยัง ป.ป.ช.จำนวน 21 สำนวน และมี 2 สำนวนไม่ได้ส่ง เนื่องจากพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม มารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 26 กันยายน โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และอีก 1 สำนวนคือวัดบำเพ็ญเหนือ เป็นวัดที่ไม่มีพระประจำอยู่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม สำหรับสำนวนของพระอีก 3 รูป ได้ส่งไปยัง ป.ป.ช.แล้ว คือพระเทพเสนาบดี ได้ส่งทนายความมาลงบันทึกประจำโดยให้เหตุผลว่าที่ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาเนื่องจากหมายเรียกส่งไปถึงช้า จึงไม่รู้ว่าต้องมารับทราบข้อกล่าวหาวันไหน พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค และ พระราชรัตนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการาม ทางเจ้าหน้าที่ ปปป.ได้ส่งหมายเรียกไปจำนวน 2 ครั้ง แต่ไม่มีการติดต่อกลับมา และเมื่อเจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปก็ไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ทั้ง 3 รูปสำนวน เลยขั้นตอนของทางเจ้าหน้าที่ ปปป.ไปแล้วหากจะมีการติดต่อหรือการออกหมายจับจะเป็นส่วนของ ป.ป.ช.
“สำหรับการเข้าค้นวัดทั้ง 100 วัดนั้น เบื้องต้นยังไม่มีการสั่งการใด ทราบเพียงว่าจะมีการตรวจสอบ 100 วัดที่เข้าข่ายต่อไป”รองผบก.ปปป.กล่าว
