เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(รองโฆษก ตร.)เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจตำแหน่ง รอง สว.(สอบสวน) สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำหนักกว่า 20 บาทเหตุเกิด อ.ทุ่งใหญ่ จว.นครศรีธรรมราช ว่า ได้รับรายงานว่าวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกันจับกุม ร.ต.ท.มีชัย ช่อสม อายุ 37 ปี รองสว.สอบสวน สภ.หนองจิก ผู้ต้องหาชิงทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ดำเนินคดี
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนทราบว่าเมื่อวันที่13ธันวาคม เวลา 14.50 น. ผู้ต้องหาเป็นข้าราชการตำรวจได้ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 16 เส้น ,สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 2 เส้น รวม 20 บาท คิดเป็นเงิน 400,000 บาท แล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอศาลจังหวัดทุ่งสงออกหมายจับผู้ต้องหา และสามารถติดตามจับกุมตัวได้ ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุนั้น พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวอีกว่า ในส่วนการดำเนินการทางวินัยนั้น ทางผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก่อเหตุได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงไว้แล้ว3ส่วน ส่วนที่ 1. คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นของหลวงที่สูญหายไป ส่วนที่ 2. คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีผู้ต้องหากระทำผิดอาญา หากกระทำผิดจริงจะมีโทษถึงให้ออกหรือไล่ออก และส่วนที่ 3 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้บังคับบัญชาของผู้ต้องหาว่ามีการปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำความผิดหรือไม่ การสอบสวนข้อเท็จจริงอยู่ในกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว
รองโฆษก ตร.กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีนโยบายเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบของกฎหมายเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง มิใช่เป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง หากการสืบสวนสอบสวนปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำความผิด ต้องมีการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางวินัย เพื่อให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจเพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนต่อไป