ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 30 มีนาคม ที่สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.สุริยา อยู่แพทย์ ผกก. พ.ต.ต.มานพ ชาวไร่ สว.สส. สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันสอบสวนนายพิสัยสิษฐ พิญญะเดช อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/1 ม.3 ต.วังพัฒนา อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่97/2559 ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น
พล.ต.ต.สุทธิ กล่าวว่า โดยเมื่อวันที่ 11 ก.พ.59 กลุ่มของผู้ต้องหา รวม 4 คน สร้างละครทำทีเป็นกลุ่มนายหน้าซื้อขายที่ดิน ได้เข้าไปติดต่อ นายวัง หาสุนทรี อายุ 68 ปี และนางวิไล หาสุนทรี อายุ 68 ปี สองสามีภรรยา ทำทีสอบถามทาง อ้างว่าเป็นนายหน้าจะไปซื้อที่ดินแถววัดบ้านหีบ แต่ไปไม่ถูกขอให้ช่วยพาไป ระหว่างทางพบรถยนต์อีกคันจอดอยู่ มีชายสองคนอยู่ในรถ อ้างตัวเป็นเจ้าของที่ดินบอกขายที่ดินในราคา 1.5 ล้านบาท แต่ที่ดินติดจำนองอยู่ และมีเงินอยู่แค่ 5 แสนบาทที่กำลังจะนำไปไถ่ถอนที่ดิน พร้อมกับเปิดกระเป๋าให้เห็นเงินดังกล่าว และบอกว่าขาดเงินอีก 2 แสนบาท ก่อนหันมาสอบถามตนว่ามีเงินหรือไม่ขอให้มาช่วยไถ่ถอนที่ดินก่อน เมื่อขายที่ได้จะแบ่งเงินกำไรให้ ตนเห็นว่าได้เงินส่วนต่างจึงพากันย้อนกลับมาที่บ้านเอาเงินสดให้ไป 1 แสนบาท พร้อมกับทองรูปพรรณหนัก 8 บาท โดยคนร้ายบอกว่าให้รอจะกลับมาเอาเงินส่วนแบ่งมาให้ แต่ไม่กลับมาผู้เสียหายจึงรู้ว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความ
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบจากหมายจับประวัติของกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวจึงนำภาพถ่ายมาให้ผู้เสียหายดู สองตายายจำหน้าของกลุ่มคนร้ายได้ทั้งหมดและยืนยันได้ จึงได้ขอศาลอนุมัติแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกหมายจับติดตามจับกุมมาได้ บางส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวมาได้แล้วคือนายจรัญ มะลิเงิน นายเจือสิงโตแก้ว และล่าสุดจับกุมตัวนายพิสัยสิษฐ์ ได้ที่จ.นครสวรรค์
จากการสืบสวนขยายผลทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา 4 ครั้ง จ.พิษณุโลก 4 ครั้ง นครสวรรค์ 1 ครั้ง จ.อุทัยธานี 1 ครั้ง รวมมูลค่าทรัพย์สิน ประมาณ 5 ล้านบาท อยากฝากเตือนประชาชนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ อย่าหลงเชื่อกลุ่มของคนร้ายที่เข้ามาทำทีหลอกซื้อขายที่ดินไม่มีการได้มาซึ่งผลประโยชน์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คดีนี้เป็นคดีที่ยอมความกันได้ กลุ่มผู้ต้องหา เมื่อถูกจับกุมตัวได้ จะเคลียร์ชดใช้เงินให้กับผู้เสียหาย แล้วกลับไปก่อเหตุอีก ด้านนายพิสัยสิษฐ ให้การปฎิเสธ ว่าตนเองมีอาชีพขายเสื้อผ้าอยู่ใน จ.นครสวรรค์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มของคนร้าย และไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน
