ความคืบหน้าคดีนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลย์สงคราม จ.พิษณุโลก 5 นศ.เข้าร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายที่ไล่ยิงและซ้อม และเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย ได้แก่ ส.ต.อ.สุบิณ นุชขำ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จ.พิษณุโลก ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก โดยให้ออกจากราชการทันที
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 มีนาคม ที่โรงแรมพิษณุโลกออคิดส์ ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีตผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.พิษณุโลก ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ อดีตตำรวจสังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร อดีตตร.สังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พิษณุโลก ผู้ต้องหาคดีรุมทำร้ายร่างกาย 5 นักศึกษา และยิงท้ายรถ เดินทางมาพร้อมด้วย นายชาญชัย ฉิมพานัง ทนายความ เพื่อแถลงชี้แจง
ส.ต.อ.สุบิน เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เกิดจากการที่มีการเฉี่ยวชนบริเวณจุดที่ 1 คือใต้สะพานสูง ยืนยันว่า รถของนักศึกษา เป็นฝ่ายที่หักปาดหน้ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน และหลังจากนั้นรถนักศึกษาได้เหยียบเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทางฝั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็พยายามขับรถติดตามเพื่อแจ้งให้จอด แต่ปรากฏว่ารถนักศึกษากลับไม่ยอมจอด พร้อมขับหนีอย่างรวดเร็วทั่วเมืองพิษณุโลก ตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดรถคันดังกล่าวถึงไม่ยอมจอดให้ตรวจ แต่กลับขับรถวนในเมืองด้วยความเร็วถึง 3 รอบ ประกอบกับรถคันดังกล่าว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่งซิ่ง ท่อดัง จึงต้องประเมินสถานการณ์ว่ารถคันดังกล่าวอาจไปกระทำความผิด หรือมีสิ่งผิดกฎหมาย จึงได้ตัดสินใจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดรถคันดังกล่าว เนื่องจากเส้นทางที่รถขับหลบหนีนั้นเป็นจุดที่มีคนพลุกพล่าน อาจเกิดการเฉี่ยวชนประชาชนได้
“ในรอบที่ 3 จึงใช้อาวุธปืนประจำกายยิงไปที่บริเวณล้อหลังเพื่อให้รถหยุด และขอยืนยันว่ายิงตามหลักยุทธวิธีหลักสูตรหน่วยสวาทที่อบรมมา คือยิง 3 นัด และ 1 นัดในนั้นได้ถูกยาง ดังนั้นจึงขอแก้ต่างในข้อกล่าวหาที่ว่าตนพยายามฆ่า เพราะหากคิดว่าจะฆ่าคน หรือตั้งใจยิงให้ถูกคน คงยิงไปจุดกระจกมากกว่า” ส.ต.อ.สุบิน กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่มีพยาน ที่อ้างว่าเป็นพลเมืองดี เดินทางมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยรู้จักกับ 5 นักศึกษามาก่อน และผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงพยายามขับรถติดตาม โดยอ้างว่ารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นไปเฉี่ยวชนรถพยานก่อน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรถของพยานได้ขับติดตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ส่วนการเฉี่ยวชนเป็นการชนแบบถูกปาดหน้าหลังการติดตาม ทางตนอยากให้ตรวจสอบประวัติให้ดีเนื่องจาก จากการตรวจสอบเชิงลึก พบว่าตัวพยานนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับพี่ชายของ 1 ในนักศึกษาที่เป็นคนขับขี่รถคันดังกล่าว และเรื่องของคลิปจากกล้องหน้ารถของบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นพยานนั้น ตนอยากให้นำมาตรวจสอบให้ละเอียดเพราะคลิปบางช่วง บางเหตุการณ์ ถูกลบหายไป 3 ช่วง เหมือนเป็นการปกปิดเรื่องราว หรือความเป็นจริงอะไรบางอย่าง
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวอีกว่า ส่วนในข้อหาที่ทำร้ายร่างกาย กลุ่มนักศึกษานั้นขอยอมรับผิดว่าทำจริง แต่ทำไปเพราะขัดขืนไม่ยอมลงจากรถจึงเกิดโทสะ เพราะเกิดความกดดันจากการพยายามติดตามรถของนักศึกษามาตลอดเส้นทาง ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ามีการดื่มสุรานั้นไม่เป็นความจริง เพราะในวันเกิดเหตุกลับจากสถานีตำรวจเกือบตี 4 และช่วงเช้าร้อยเวรได้เรียกให้มาเป่าแอลกอฮอล์ใช้เวลาห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง หากตนเมา หรือดื่มสุราจริง ตามที่นักศึกษาได้กล่าวอ้างว่าได้กลิ่นสุรานั้น ผลการเป่าตรวจต้องไม่เป็นศูนย์ จากเหตุการณ์ดังกล่าวตนต้องกราบขอโทษวงการตำรวจที่ทำให้มีเรื่องเสื่อมเสีย กราบขอโทษผู้บังคับบัญชา ทุกนาย ส่วนสาเหตุที่ตนไม่ได้ออกมาชี้แจงอะไรเลยนั้น ตนรวบรวมหลักฐานชี้แจงเพื่อชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนอยากร้องขอความเป็นธรรมจากสังคมให้ฟังพวกตนบ้าง อย่ารุมประณามเพียงอย่างเดียวเรื่องที่ผิดคือเรื่องทำร้ายร่างกาย ตนยอมรับผิดและหลังเกิดเหตุตนได้ติดต่อขอเข้าพบ ขอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล กับครอบครัวของนักศึกษาแต่ก็ถูกปฏิเสธมาโดยตลอด ซึ่งหากทำได้ตนอยากนำดอกไม้กราบขอขมาด้วยซ้ำหากทางครอบครัวนักศึกษายินยอม อย่างไรก็ดีเรื่องที่ถูกตั้งถึง 6 ข้อกล่าวหาร้ายแรงนั้น ขอปฏิเสธเรื่องอยู่ในระหว่างให้ทนายรวบรวมหลักฐานสู้คดี ขอยอมรับผิดเพียงข้อหาเดียวคือทำร้ายร่างกายเพียงคดีเดียว