‘มานิจ สุขสมจิตร’ยันแผนปฏิรูปตำรวจชุด ‘บิ๊กสร้าง’ ไม่เพี้ยน รธน. แจง ทำตามอำนาจหน้าที่ รับได้ปฏิรูปถูกโละ หากปชช.ได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ชี้ส่วนดีมีเยอะ ออกแบบตั้ง ผบ.ตร.ปลอดการเมือง อ้อมแอ้มเป็นฉบับ เกรงใจตำรวจ ชี้ให้เห็น กก.สีกากีเพียบ
เมื่อวันที่ 13 เมษายน นายมานิจ สุขสมจิตร อดีตประธานคณะอนุกรรมการด้านสื่อสารกับสังคม ในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ตามรัฐธรรมนูญฯ กล่าวถึงกรณีที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ระบุว่าแผนปฏิรูปตำรวจของคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) ที่มี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ยังไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่เพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยจะประชุมนัดแรกหลังสงกรานต์ ว่าคณะกรรมการของตนยุติบทบาทแล้ว ตั้งแต่ส่งรายงานแผนปฏิรูปให้คณะรัฐมนตรี ตนเป็นเพียงอดีตกรรมการฯ ทั้งนี้เห็นด้วยหากจะนำแผนการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดตนไปแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น หากการแก้ไขนั้นเป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่า ขณะเดียวกันตำรวจทำงานง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แผนปฏิรูปที่คณะกรรมการชุดตนเสนอไปก็มีส่วนดีๆอยู่มาก ทั้งเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสถานีตำรวจ การแก้ปัญหาแต่งตั้งโยกย้าย ที่ห้ามย้ายข้ามกองบัญชาการ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นและเจ้าตัวต้องเห็นชอบ และการให้อำนาจหน้าที่กองบัญชาการต่างๆในการแต่งตั้งตำรวจในสังกัด และการตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับพื้นที่ จะได้รู้ต้องการแอร์กี่ตัว ปืนกี่กระบอก ไม่ต้องไปเรี่ยไรกัน
“รวมถึงการตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ที่เอาการเมืองออกไป ให้ ผบ.ตร.เสนอแต่งตั้งจากรองผบ.ตร.หรือจเรตำรวจแห่งชาติ ไม่เกิน 3 คน แต่ไม่น้อยกว่า 2 คน ให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งไม่มีฝ่ายการเมืองเลยพิจารณา เลือกเพียง 1 คน แล้วเสนอนายกรัฐมนตรี พิจารณานำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง แต่หากนายกรัฐมนตรีไม่เห็นชอบรายชื่อนั้น ต้องมีเหตุผลประกอบการแย้ง แล้วให้ ก.ตร.พิจารณาใหม่จากรายชื่อที่เหลือ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีสิทธิไม่เห็นชอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จนได้รายชื่อตามที่ก.ตร.เห็นชอบให้ ผบ.ตร.เสนอนายกรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ตรงนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีแล้”นายมานิจกล่าว
เมื่อถามว่ามีการชี้ว่าแผนปฏิรูปของคณะ พล.อ.บุญสร้าง ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นายมานิจ กล่าวว่า คณะกรรมการของตนเกิดขึ้นและมีอำนาจหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ คือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อํานาจ และภารกิจของตํารวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตํารวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตํารวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง และโยกย้าย และการพิจารณาบําเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคํานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตํารวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน
“รัฐธรรมเขียนไว้เพียงเท่านี้ให้อำนาจเราทำตามนี้ ในส่วนที่มีขอบข่ายไปเกี่ยวข้องกับข้ออื่น เราก็คุยกันว่าเราทำได้หรือไม่ เช่นเรื่องการสอบสวนคดีอาญา ถ่วงดุลพนักงานสอบสวน กับอัยการ ซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อ (4) ท้ายที่สุดเราจึงตกลงกันว่า คณะกรรมการฯจะดำเนินการตามที่รัฐธรรมให้อำนาจ ซึ่งเราทำอย่างครบถ้วนแล้ว แต่หากมองว่ามีส่วนต้องแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ผมมองว่าเป็นเรื่องน่ายินดี อย่างไรก็ตามการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูปชุดผม ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางอยู่แล้ว เราฟังเสียงจากประชาชนก่อนออกแผนปฏิรูปฯ” นายมานิจกล่าว
เมื่อถามว่า มีการมองว่าแผนปฏิรูปชุด พล.อ.บุญสร้าง ทำแบบเกรงใจตำรวจ นายมานิจ กล่าวว่า นั่นเป็นมุมมองของนายมีชัย ที่อาจคิดเห็นอย่างนั้น ตนไม่ขอออกความเห็น ผลการทำงานในคณะกรรมการมีบางอย่างที่ตนก็ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อหารือกันแล้วเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย ตนในฐานะทำหน้าที่สื่อสารกับสังคมก็ต้องพูดในบทสรุปที่คณะกรรมการเห็นชอบ ถามว่าเป็นแบบเกรงในตำรวจหรือไม่ ในกรรมการ 36 คน เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 5 คน ตรงนี้เป็นข้าราชการที่เป็นกลางๆอยู่แล้ว อีก 15 คนเป็นตำรวจในราชการและอดีตตำรวจ อีก 15 คนไม่ใช่ตำรวจ ตนพูดให้เห็นจำนวนกรรมการว่ามีตำรวจมากแค่ไหน แต่เรื่องการทำงานของกรรมการตนจะไม่พูดเพราะเป็นมารยาท
