เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจ 191 จับกุม นายไพจิตร์ สายยา ชาวจ.สกลนคร ได้ที่ย่านพระโขนง หลังสืบทราบว่ามีการแอบอ้างชื่อของพล.ต.ต.สุรเชษฐ หักพาล รองผบช.ททท ว่าสามารถวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจได้
สืบเนื่องจาก พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้รับรายงานว่ามีนายตำรวจระดับรอง ผบก. ถึง สว. จำนวน 6 นาย ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ว่าถูกผู้ต้องหาแอบอ้างว่ามีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล โดยได้มีการนำบทสนทนาทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งมีการสนทนากับทาง “บิ๊กโจ๊ก” กันอย่างสนิทสนม พร้อมยังแอบอ้างว่าสามารถวิ่งเต้นตำแหน่งทั้งตำรวจและทหารได้ ทำให้นายตำรวจทั้ง 6 นายหลงเชื่อ นำเงินไปมอบให้จำนวนรวมทั้งสิ้น 4.3 ล้านบาท
ต่อมา ทางเว็บไซด์กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เผยแพร่คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผบก.-สว. วาระ 2560 กับปรากฎว่าไม่มีรายชื่ออยู่ในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย นายตำรวจทั้ง 6 นาย จึงได้ทวงถามไปยังวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับขอเงินคืนทั้งหมด แต่ผู้ต้องหาให้การบ่ายเบี่ยง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ข้าราชการตำรวจ จนเรื่องราวทั้งหมดเข้ามาถึงหูพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ทาง รอง ผบช.ทท. จึงได้ทำการสืบสวน และทำการติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด
ทั้งนี้มีรายงานว่าชุดสืบสวนได้ทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาและสอบปากคำจนทราบว่านายตำรวจทั้ง 6 นาย ได้มีการจ่ายเงินวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งดังนี้ 1.รอง ผบก.ภ.จว. ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ขอย้ายไปดำรงตำแหน่งรอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น โดยโอนเงินไปจำนวน 5 แสนบาท 2.ผกก.ในสังกัด ภ.จว.ขอนแก่น ขอย้ายไปอยู่พื้นที่อื่น โอนเงินไป 1 แสนบาท 3.สว.สส. ในสังกัด ภ.จว.นครพนม ขอขึ้น รอง ผกก. โอนเงินไป 5.1 แสนบาท 4.สว.ป.ในสังกัด ภ.จว.กาฬสินธุ์ ขอขึ้นรอง ผกก. โอนเงินไปจำนวน 5 แสนบาท 5.สว.ในสังกัด สตม. ขอขึ้นรองผกก. โอนเงินไป 2.5 ล้านบาท และ6. ผบ.หมู่. ในสังกัด สตม. ขอย้ายในระนาบ โอนเงินไป 1 แสนบาท อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ได้หลอกลวงก็นำเงินไปซื้อที่ดินจำนวน 16 ไร่ในจังหวัดนครพนมรวมทั้งรถยนต์
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และไม่ควรเกิดขึ้นในแวดวงตำรวจ โดยเฉพาะผู้เสียหายเป็นถึงนายตำรวจระดับ รอง ผบก.-สว. เมื่อมีเรื่องลักษณะดังกล่าวขึ้น แทนที่จะดำเนินคดี แต่กับเพิกเฉยส่งเสริมปล่อยให้เกิดเรื่องในลักษณะเช่นนี้ ทั้งนี้ การเป็นตำรวจต้องทำงานในหน้าที่ ถึงจะเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าทำพฤติกรรมอย่างอื่นเกินหน้าที่ก็ไม่มีวันที่จะเจริญก้าวหน้าได้ ส่วนตัวตนไม่มีอำนาจที่จะชี้ว่าใครดีหรือไม่ดี ทุกคนต้องทำหน้าที่โดยมีผลงานให้ประชาชนเป็นตัวตัดสิน