ชงฟันวินัยร้ายแรง 6 รอง ผบก.-ผบ.หมู่ ภ.4 หลงเชื่อ ‘บิ๊กโจ๊กตัวปลอม’ จ่ายหลักล้านซื้อเก้าอี้ ตัวจริงครวญถูกย่ำยี

ชงฟันวินัยร้ายแรง 6 รอง ผบก.-ผบ.หมู่ ภาค 4 โทษถึงออก หลงเชื่อโชเฟอร์แท็กซี่เป็นบิ๊กโจ๊กตัวปลอม จ่ายเงินหลักล้านซื้อเก้าอี้ ตัวจริงควันออกหู สั่งจับ ครวญถูกย่ำยีมานาน ลั่นยุคนี้ต้องทำงานเรื่องซื้อขายตำแหน่งไม่มีจริง !!

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 พฤษภาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงว่า ตำรวจได้จับกุมนายไพจิตร์ สายยา อายุ 40 ปี อาชีพขับแท็กซี่ หลังสืบสวนสอบสวนพบว่าทำการปลอมแปลงตนในแอพพลิเคชั่นไลน์ อ้างตัวเป็นตน โดยใช้ชื่อในไลน์ว่า “คนดีมีแต่ให้” ใช้รูปตนเป็นโปรไฟล์ แอบอ้างเป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล หลอกลวงข้าราชการตำรวจให้หลงเชื่อว่าสามารถช่วยโยกย้ายแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้ตามต้องการแลกกับเงินจำนวนมาก โดยมีข้าราชการตำรวจในสังกัด กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ 6 ราย ตั้งแต่ตำแหน่งรองผู้บังคับการถึงผู้บังคับหมู่ จ่ายเงินให้ผู้ต้องหายรวมมากกว่า 4 ล้านบาท เพื่อแลกกับตำแหน่งที่สูงขึ้น

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า นายไพจิตร์ตีสนิทกับกลุ่มตำรวจผู้เสียหายผ่านทาง พ.ต.ท.พงษ์อนันต์ ชุบรัมย์ สว.กก.สส.ภ.จว.นครพนม ตั้งแต่ปี 2557 อ้างว่าเป็นตน ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งรอง ผบก. และพูดคุยกันเรื่อยมา กระทั่งวาระการแต่งตั้งตำรวจ ปี 2559 พ.ต.อ.อุกกฤษฎ์ ทรงชัยสงวน รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ปฏิบัติราชการสำนักงาน ผบช.ภ.4 ได้วิ่งเต้นจ่ายเงิน 1 ล้านบาท แลกกับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น แต่บังเอิญว่าในการแต่งตั้งวาระนั้น พ.ต.อ.อุกกฤษฎ์ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นด้วยความรู้ความสามารถของตนเอง แต่คงเพราะไม่มั่นใจจึงยอมจ่ายเงินด้วย จากครั้งนั้นทำให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ตัวปลอมน่าเชื่อถือในการแต่งตั้งวาระ 2560 จึงมีการชักชวนในหมู่ตำรวจที่สนิทสนม และยินยอมจ่ายเงินให้กับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ตัวปลอม โดยวาระ 60 พ.ต.อ.อุกกฤษฎ์ จ่าย 500,000 เพื่อขอโยกย้ายในระนาบเดียวกัน พร้อมพวกอีก 5 ราย รายแรก ยอมจ่ายเพื่อขอขึ้นจากสารวัตรเป็นรอง ผกก. 510,000 บาท รายที่ 2 สารวัตร ตม. ขึ้นรอง ผกก.ใน ตม. 2.5 ล้านบาท รายที่ 3 ผกก.ขอย้าย 100,000 บาท รายที่ 4 สารวัตรของขึ้นรอง ผกก. 500,000 บาท และรายสุดท้ายเป็น ผบ.หมู่ขอย้าย จ่าย 100,000 บาท โดยทั้งหมดจ่ายเงินเรียบร้อยก่อนคำสั่งออก ตกลงกันว่าจ่ายรอบเดียว แต่เมื่อคำสั่งแต่งตั้งออกมามีเพียงรอง ผบก.รายเดียวที่ได้โยกย้ายเป็น รอง ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ อีก 5 นายไม่ได้โยกย้ายตามที่ตกลง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีผลงานและยังเป็นหน้าห้องของ พล.ต.ท.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบช.ภ.4 ด้วย ต่อมาผู้เสียหายสงสัย จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

Advertisement

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า จากกรณีนี้เมื่อตนทราบเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาถึงกับควันออกหู เพราะเรื่องแบบนี้ทำตนเสียหายมาหลายปี เอาชื่อเสียงของตนไม่ย่ำยี แอบอ้างเรื่องแบบนี้มานานจึงสั่งการสืบสวนจับกุมนายไพจิตร์ทันที และรวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดนครพนม โดยนายไพจิตร์หลบหนีจากนครพนมมากบดานที่ กทม. ย่านหลังสวน เจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์ เข้าจับกุมได้ และสอบสวนรับสารภาพ นำค้นบ้านทุกหลัง นายไพจิตร์รับว่า เอาเงินที่ได้มากว่า 4 ล้านบาท ไปซื้อที่ดิน 16 ไร่ ไปซื้อรถแท็กซี่ให้คนเช่าขับ ตอนนี้ตรวจยึดหมดแล้ว โดยในการรับเงินให้ พ.ต.ท.พงษ์อนันต์ รวบรวมและโอนเข้าบัญชีของนายไพจิตร์ ทั้งนี้ แจ้งข้อหาฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ขณะที่ส่วนตัวได้รับความเสียหายมาก แม้ให้อภัยนายไพจิตร์ แต่ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ให้ทนายความส่วนตัวไปแจ้งความกับนายไพจิตร์ ในข้อหาความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตามมาตรา 14 ปลอมแปลงข้อมูลไปสร้างความเสียหาย

รอง ผบช.ทท.กล่าวว่า ส่วนตำรวจทั้ง 6 นาย ก็ต้องถูกดำเนินการสอบสวนทางวินัยด้วย และหากเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย เรื่องนี้กตนรายงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับ ตร. และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.แล้ว ในส่วน พล.อ.ประวิตร สั่งการให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย ส่วน ผบ.ตร.จะตั้งกรรมการขึ้นมาดำเนินการทางวินัยกับตำรวจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในทางวินัยการเป็นตำรวจแล้วไปซื้อขายตำแหน่ง สนับสนุนให้มีการกระทำความผิด หากสืบสวนสอบสวนแล้วผิดจริงก็ผิดวินัยร้ายแรงโทษถึงให้ออกจากราชการ ซึ่งดูจากกรณีนี้ก็ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ผิดวินัยร้ายแรงอย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้ต้องมีการสืบสวนสอบสวนก่อน ในทางคดีอาญาก็มีสถานะทั้งผู้เสียหายและอาจเป็นผู้ต้องหาด้วย ตนก็ไม่รู้ว่าคนที่เป็นตำรวจ บางคนเป็น นรต.ไปหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อได้อย่างไร

Advertisement
“เรื่องนี้ผมจะทำให้เป็นเยี่ยงอย่าง ยุคนี้ไม่มีแล้วเรื่องซื้อขายตำแหน่ง ทุกคนต้องทำงาน จะเป็นคนของใครก็ต้องทำงาน แม้แต่ผมสนิทกับ พล.อ.ประวิตร ก็ยังต้องทำงานหนัก ถ้าตำแหน่งซื้อได้ ผมคงไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าผมมีชื่อเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ก็ลือกันมาตลอด ผมเสียหายมาก ส่วนตัวไม่รู้จักตำรวจทั้ง 6 นายเป็นการส่วนตัวเลย แค่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าไปเชื่อได้อย่างไรว่าคนนั้นคือผมและไปเชื่อว่าผมสามารถโยกย้ายให้ตำแหน่งได้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องการพิจารณาโยกย้ายแต่งตั้ง เว้นแต่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวที่ผมเป็นรอง ผบช.ทท. เป็นกรรมการพิจารณามีอำนาจหน้าที่เท่านั้น ส่วนหน่วยอื่นมีกองบัญชาการมีคนที่มีอำนาจอยู่แล้ว ไม่มีแล้วเรื่องที่ชอบพูดกันไปเรื่อยเรื่องซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาทั้งผมและ ผบ.ตร. เรื่องนี้ท่าน ผบ.ตร.ก็ยืนยันไปแล้วไม่มีเรื่องซื้อขายตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น ยุคนี้ต้องทำงานเลิกคิดเลิกเชื่อเรื่องซื้อขายตำแหน่งได้แล้ว ต้องทำงานแลกกับตำแหน่ง” รอง ผบช.ทท.กล่าว

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ในส่วนของนายไพจิตร์ จากการสืบสวนสอบสวนแล้ว พบว่าแอบอ้างเป็นตนเพราะอ่านข่าว แล้วทราบข้อมูล ไม่มีญาติ หรือคนสนิทเป็นคนในวงการตำรวจ แอบอ้างขึ้นมาคนเดียวไม่มีใครสั่งการอยู่เบื้องหลังหรือเป็นนอมินีของใครที่เชื่อเพราะพบว่าเงินที่ได้ทั้งหมดถูกแปลงเป็นทรัพย์สินทั้งที่ดินและรถหมดแล้ว และทั้งหมดอยู่ที่นายไพจิตร์ ไม่ได้ส่งให้ใคร พฤติกรรมคือตกเบ็ด หลอกลวง

ด้าน พ.ต.ท.พงษ์อนันต์กล่าวว่า ช่วงปี 2557 ตนทำคดีจราจร จู่ๆ ได้รับสายโทรศัพท์ปริศนา อ้างว่าเป็นรองโจ๊ก หรือ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในตอนนั้น เพื่อขอช่วยให้ดูแลคดี ตนก็พอทราบข้อมูลเกี่ยวกับรองโจ๊กจากข่าวสาร และเรื่องเล่าในแวดวงตำรวจ จึงให้การช่วยเหลือคดีนั้นเต็มที่ ตนยังแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบด้วย ต่อมาโทรศัพท์หมายเลขเดิม และพูดคุยชื่นชม ให้กำลังใจ ทำให้มีกำลังใจ เชื่อใจว่านี่คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ตัวจริง เคยตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ พบว่าไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ในฐานข้อมูลของ ตร. แต่ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ตัวปลอมบอกว่าเบอร์โทรดังกล่าวเป็นเบอร์พิเศษ ใช้ในกรณีเฉพาะกิจเท่านั้น ลักษณะคำพูดคำจาก็เหมือนกับรองโจ๊กไม่มีผิด เพราะตนเคยเห็นการให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรทัศน์ จึงเชื่อสนิทใจ คุยกันมาเรื่อย รองโจ๊กตัวปลอมยังเคยให้ตนตรวจสอบข้อมูลบุคคลให้ ตนก็ทำให้จนเป็นคดีก็ปรึกษาหารือมาตลอด กระทั่งตนไปเล่าให้คนสนิทกันรับทราบ จนรองโจ๊กตัวปลอมได้คุยกับคนอื่นๆ ทางไลน์ จนมีคนแรกที่เสนอให้รองโจ๊กตัวปลอมช่วย มีการพูดเจรจากันมา จนการแต่งตั้งวาระล่าสุด ก็มีการตกลงกัน โดยตนรับหน้าที่เป็นตัวกลางรวบรวมเงินให้รองโจ๊กตัวปลอม เห็นบัญชีที่ให้โอนก็ไม่เอะใจเพราะมีการพูดว่าบัญชีเป็นของตัวแทน

ด้านนายไพจิตร์กล่าวว่า รู้จัก พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เห็นผลงานจากข่าวสารต่างๆ ที่ตนแอบอ้างเรื่องวิ่งเต้นตำแหน่งเพราะถูกตำรวจเสนอก็รับสมอ้างไป คนที่ได้ตำแหน่งก็ไม่รู้ว่าได้ได้อย่างไร ตนก็ไม่ทราบ แต่จากนั้นตนก็น่าเชื่อถือขึ้นกลุ่มตำรวจก็มีข้อเสนอมา จึงแอบอ้างทำไป ได้เงินมา ต้องขอโทษ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ด้วย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image