สัมภาษณ์พิเศษ : สุเทพ แก่งสันเทียะ จาก ‘ครูอาชีวะ’ สู่เก้าอี้ ‘เลขาธิการ กอศ.’

สุเทพ แก่งสันเทียะ จาก ‘ครูอาชีวะ’ สู่เก้าอี้ ‘เลขาธิการ กอศ.’

หมายเหตุ – นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชน” ถึงทิศทางการทำงาน และนโยบายในการพัฒนาการเรียนการสอนอาชีวะ ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กอศ.แทน นายณรงค์ แผ้วพลสง ที่เกษียณอายุราชการ

๐รับตำแหน่งเลขาธิการ กอศ.มา 2 เดือนกว่าๆ หนักใจหรือไม่?

“เรื่องงานโอเค และสนุกมาก ผมเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ กอศ.มาก่อน การทำงานจึงต่อเนื่อง สามารถเชื่อมต่องานที่ดำเนินการในปีที่ผ่านมาได้ทันที ผมไม่ค่อยหนักใจในการทำงานเท่าไหร่ เพราะเป็นงานที่ผมคุ้นเคย ผมเป็นคนอาชีวะมาตั้งแต่ต้น เพราะเริ่มงานด้านการศึกษาด้วยการเป็นครูอาชีวะ เป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาอาชีวศึกษามาหลายสถาบัน ก่อนที่จะมาเป็นผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) เรียกได้ว่าผมเติบโตมาในสายงานอาชีวะมาโดยตลอด ทำให้ผมรู้พื้นฐานของงานด้านอาชีวะเป็นอย่างดี และจากที่ผมเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษาอาชีวศึกษามานับ 10 ปี ทำให้ผมรู้บริบทของสถานศึกษา จนทำให้ผมสามารถวางแผนในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการทำงาน และพัฒนางานได้”

๐นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มอบหมายให้พัฒนาอาชีวศึกษาอย่างไรบ้าง?

ADVERTISMENT

“สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต้องการพัฒนาคือ พัฒนาอาชีวศึกษาโดยเน้นคุณภาพเป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการศึกษายกกำลังสอง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงนำนโยบายนี้มาถอดรหัสเป็น “อาชีวะยกกำลังสอง” โดยอาชีวะยกกำลังสองจะเน้นเป็นเรื่องของการสร้างคุณภาพนำปริมาณ โดยการพัฒนาคุณภาพจะพัฒนา 4 มิติ ประกอบด้วย
มิติที่ 1 การพัฒนาศักยภาพครู โดยจะพัฒนาสถานศึกษาร่วมกันกับสถานประกอบการชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านต่างๆ โดยจัดตั้งเป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคล เพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center : HCEC) เพื่อมาพัฒนาครูและบุคคลากรทางการศึกษา ให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ เพราะครูคือผู้ที่จะไปสอน ให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา ดังนั้น ครูต้องมีสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการก่อน ถึงจะสามารถนำสมรรถนะนั้นๆ ไปสอนนักเรียน นักศึกษาได้

มิติที่ 2 คือการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านอาชีวะ หรือ Excellence Center คือสถานศึกษาจะได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพในเรื่องของการจัดการศึกษาที่ตรงกับความถนัด ความเชี่ยวชาญของตนเอง และต้องสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ด้วย เช่น วิทยาลัยตั้งอยู่ในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม วิทยาลัยนั้นจะต้องเน้นการจัดการเรียนการสอนด้านอุตสาหกรรมที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ ถ้าเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้องเน้นเรื่องการสอนของยานยนต์ เป็นต้น เมื่อสถานศึกษามีความเชี่ยวชาญเฉพาะแล้ว สอศ.จะสามารถสนับสนุนงบประมาณ เพื่อนำไปใช้ในการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีความทันสมัย และเพียงพอต่อผู้เรียนได้

ADVERTISMENT

มิติที่ 3 คือการพัฒนาหลักสูตร สอศ.จะพัฒนาร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ ผู้เรียนจะมีสมรรถนะ เมื่อเรียนจบแล้วออกไปสามารถทำงานได้จริง ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพัฒนาหลักสูตรแล้ว ต้องปรับในเรื่องของกระบวนนการเรียนการสอนร่วมกันกับสถานประกอบการด้วย ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนของ สอศ.จะเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะ มีสมรรถนะ ซึ่งจะต้องเรียนจากการปฎิบัติจริง เรียนในสถานการณ์จริงเป็นหลัก จึงจะนำการเรียนแบบทวิภาคี มาใช้ เพราะการเรียนแบบทวิภาคี คือการส่งเด็กไปเรียนในสถานประกอบการที่มาทำหลักสูตรร่วมกัน ซึ่งขณะ สอศ.อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ

และมิติที่ 4 คือการพัฒนาผู้เรียน เราต้องศึกษา และพัฒนาผู้เรียนให้มีพื้นฐาน มีความพร้อมสู่การแข่งขันในตลาดแรงงาน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ขณะนี้เรามีผู้ลงทุนที่มาจากต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องใช้ภาษาสากลในการสื่อสาร และดำเนินการทำงาน ดังนั้น สอศ.ต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะพื้นฐาน 3 สมรรถนะด้วยกัน คือ 1.สมรรถนะด้านอาชีพ 2.สมรรถนะด้านภาษาต่างประเทศ และ 3.สมรรถนะด้านดิจิทัล ซึ่งสมรรถนะเหล่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต สอศ.ต้องพัฒนาทั้ง 3 สมรรถนะควบคู่กันไป เพื่อให้ผู้เรียนจบมาสามารถทำงานร่วมกับสถานประกอบการจากต่างชาติได้”

๐จุดแข็งของอาชีวศึกษาคืออะไร?

“จุดแข็งของอาชีวะ คือรัฐบาลให้ความสำคัญกับอาชีวะอย่างมาก เพราะอาชีวะคือกำลังสำคัญในการที่จะพัฒนาประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ให้ความสำคัญกับอาชีวะมาก โดยเน้นย้ำเสมอว่าการพัฒนาคน ต้องนำเรื่องของการศึกษาเข้ามาพัฒนา แต่การจะพัฒนาประเทศ ต้องนำอาชีวะมาเป็นแกนของการพัฒนา เพราะเด็กที่จบไปต้องออกไปประกอบอาชีพในอนาคต ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีนโยบายให้ สอศ.ลงไปปูพื้นฐานอาชีพให้กับนักเรียนระดับมัธยมต้น ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยจัดทำเป็นโครงการห้องเรียนอาชีพ

โครงการห้องเรียนอาชีพจะเป็นการบูรณาการหลักสูตรร่วมกับ สพฐ.เพื่อสอนให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานด้านอาชีพ และเพื่อให้นักเรียนรู้ตัวเองว่าชอบสายอาชีพหรือไม่ หากพบว่าชอบสายอาชีพ เมื่อเรียนจบมัธยมต้น ก็สามารถเข้าศึกษาในสถาบันอาชีวศึกษาได้ทันที หากไม่ชอบสายอาชีพ และเรียนต่อในสายสามัญ วิชาชีพที่นักเรียนได้เรียนไปนั้น จะเป็นทักษะชีวิตให้กับเขาในอนาคต ที่สิ่งเหล่านี้คือกรอบของการสร้างความเข้มแข็งของอาชีวะในอนาคต”

๐แล้วจุดอ่อนของอาชีวศึกษาคือเรื่องใด?

“ส่วนจุดอ่อนของอาชีวะ คือค่านิยมของผู้เรียน ซึ่งยังไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนอาชีวะมากเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังมีค่านิยมของเด็ก และผู้ปกครอง ที่ต้องการให้บุตรหลานเรียนจบในระดับปริญญาตรี หลายคนมองว่าการเรียนอาชีวะ คือการเรียนในชั้นที่ 2 หากเรียนเก่งจะต้องเรียนในสายสามัญ หากเรียนไม่เก่งก็มาเรียนอาชีวะ ทำให้คนมาเรียนอาชีวะในปริมาณที่น้อย ทั้งที่สถานประกอบการต้องการแรงงานฝีมือจำนวนมาก ทำให้เเรงงานในประเทศมีไม่เพียงพอ จนต้องหาแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาทดแทน ซึ่ง สอศ.ก็จะพยายามผลิตแรงงานให้ตอบสนองกับความต้องการมากที่สุด”

๐รัฐบาลสนับสนุน และจูงใจอย่างไร เพื่อให้เด็ก และผู้ปกครองสนใจการเรียนในสายอาชีพ?

“สอศ.จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง และผู้เรียน โดยเน้นนำคุณภาพเป็นหลักในการพัฒนา เพื่อให้ผู้เรียนที่เรียนสายอาชีพ เมื่อเรียนจบแล้วจะมีคุณภาพ มีความสามารถ ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ หมายความว่าผู้เรียนสายอาชีพ จะมีงานทำ 100% จะทำให้ผู้ปกครอง และเด็กมองเห็นอนาคตว่าหากมาเรียนสายอาชีพจะทำให้มีงานทำอย่างแน่นอน และถ้าผู้เรียนมีสมรรถนะที่สูงขึ้น ค่าตอบแทนที่ได้จากการทำงาน อาจสูงกว่าค่าตอบแทนของผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมีผู้เรียนสายอาชีพ เช่น สาขาวิชาปิโตรเคมี เมื่อเรียนจบไป มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

ในปัจจุบันมีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมการบิน สาขาปิโตรเลียมเคมี สาขาอากาศยานเพื่อการเกษตร ซึ่ง สอศ.วางแผนเปิดสาขาวิชาใหม่เพื่อผลิตพัฒนาคนเข้าสู่ตลาดแรงงานต่อไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจของผู้ปกครอง และผู้เรียน

ผมตั้งเป้าไว้ว่า ถ้า สอศ.เริ่มต้นดำเนินการในปีการศึกษา 2564 คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปี ที่จะเห็นผลว่าผู้เรียนสายอาชีพมีคุณภาพ มีงานทำแน่นอน ตอนนี้ผมพยายามเน้นให้สถานศึกษาค้นให้พบว่าตนเองมีความถนัด เชี่ยวชาญในเรื่องอะไร โดยต้องพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ด้วย และสถานศึกษาต้องแสวงหาความร่วมมือกับสถานประกอบการชั้นนำ โดยให้สถานศึกษาจัดทำข้อมูลเสนอมาที่ สอศ.ซึ่งจะทำการวิเคราะห์สนับสนุนเพื่อพัฒนาสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศต่อไป ผลลัพธ์ที่ได้ คือเราจะได้เด็กที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน”

๐วางแผนพัฒนาอาชีวศึกษาเอกชนอย่างไรบ้าง?

“ผมมองว่าอาชีวะเอกชน ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษาอาชีวะภาครัฐอยู่แล้ว โดยจะเชื่อมโยงการพัฒนาครู เพราะ สอศ.มีศูนย์ HCEC สำหรับพัฒนาครูอยู่แล้ว ดังนั้น ครูอาชีวะเอกชน สามารถเข้ามาเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ในส่วนของตัวหลักสูตรที่ สอศ.พัฒนาร่วมกับสถานประกอบการ ทางอาชีวะเอกชนสามารถนำหลักสูตรนั้นไปใช้ได้เลย”

๐ปัจจุบันยังไม่มีคณะกรรมการ กอศ.ซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบาย ทำให้ติดขัดอย่างไรบ้าง?

“มีการดำเนินงานหลายอย่างที่เป็นอำนาจของคณะกรรมการ กอศ.ทำให้ สอศ.ดำเนินงานติดขัดบ้าง เช่น พัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษา มีเงื่อนไขกำหนดให้ปรับหลักสูตรไว้ 5 ปี แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บางหลักสูตรล้าสมัยไปแล้ว หาก สอศ.ต้องการปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้ทันสมัย ก็นำเสนอให้คณะกรรมการ กอศ.พิจารณาปรับเปลี่ยนได้ทันที โดยไม่ต้องรอ 5 ปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผมคาดว่าเราจะได้คณะกรรมการ กอศ.ในเร็วๆ นี้ เพราะทาง สอศ.ได้รายชื่อของผู้ที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาในตำแหน่งต่างๆ ครบทุกองค์ประกอบแล้ว จะมีการประชุมคณะกรรมการสรรหาในเร็วๆ นี้เช่นกัน หลังจากนั้นจะนำรายชื่อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาอีกครั้ง”

๐มีวิธีคลายเครียด หรือผ่อนคลายอย่างไรบ้าง?

“ผมเป็นนักคิด นักเขียน ดังนั้น วิธีคลายเครียดของผมมี 2 กิจกรรม คือ ถ้าเลิกงานกลับไปถึงที่พัก จะใช้เวลาแต่งโคลง แต่งกลอน ส่วนใหญ่ผมจะแต่งกลอนสี่สุภาพ กลอนแปด กลอนสักวา กาพย์ยานี 11 เป็นต้น เพื่อให้มีสมาธิ และผ่อนคลาย แต่ถ้ามีเวลาในวันหยุด ก็ไปสนามพระเครื่อง ส่องพระเครื่อง ไปพบปะกับพรรคพวกที่ชอบพระเครื่อง เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image