เปิดงานวิจัยจุฬาฯ ‘ทัศนคติในอนาคตของชาวดิจิทัลไทย’ คว้าผลงานวิจัยดีมาก จาก วช.
รศ.ดร.จุลนี เทียนไทย ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า “มนุษย์ป้า” ถ้อยคำที่อาจสะเทือนใจใครหลายคน แต่คำสั้นๆ นี้ ช่วยเปิดพื้นที่การสนทนาระหว่างอาจารย์กับนิสิตเมื่อ 3 ปีก่อน จนได้ร่างความคิดยาว 3-4 หน้ากระดาษ เป็นที่มาของงานวิจัย “การสร้างความเข้าใจในคุณลักษณะ พฤติกรรม และทัศนคติในอนาคตของชาวดิจิทัลไทย” ที่ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีมาก สาขาสังคมวิทยา ประจำปี 2565 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
“ชาวดิจิทัลไทย คืออนาคตของชาติ เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ เป็นทั้งกำลังคน เป็นผู้กำหนดทิศทางการเมือง ระบบการศึกษา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรม ชาวดิจิทัลไทยในปัจจุบัน จะเป็นผู้ส่งผ่านแนวคิด และทัศนคติไปสู่คนรุ่นต่อไปในอนาคต” รศ.ดร.จุลนี กล่าว
รศ.ดร.จุลนีกล่าวอีกว่า งานวิจัยชิ้นนี้ ให้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับกระบวนการคิด ทัศนคติ พฤติกรรมของชาวดิจิทัลไทย ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาวิจัยในเรื่องเช่นนี้ในประเทศไทยมาก่อน พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้เข้าใจลูกหลาน นายจ้างจะได้เข้าใจลูกน้องมากยิ่งขึ้น ครู อาจารย์ และสถาบันการศึกษา สามารถนำผลการวิจัยไปปรับรูปแบบ และวิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนมากขึ้นด้วย
“ชาวดิจิทัลไทยในงานวิจัยชิ้นนี้ ถูกจัดอยู่ในเจน Y และเจน Z มีด้วยกัน 5 กลุ่ม คือ นักเรียนมัธยมต้น นักเรียนมัธยมปลาย นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน และผู้ที่อยู่ในวัยทำงานตอนกลาง คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z อายุ 7-25 ปี เป็นกลุ่มที่เกิด และเติบโตพร้อมกับเทคโนโลยี ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ทั้งการเรียน การทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยในโลกยุคดิจิทัลอย่างยิ่ง” รศ.ดร.จุลนี กล่าว
รศ.ดร.จุลนีกล่าวต่อว่า เป้าหมายหลักในการวิจัย คือทำความเข้าใจอัตลักษณ์ของชาวดิจิทัลไทย ความรู้ ทักษะ ทัศนคติที่จำเป็นในการเรียนการสอน และการทำงาน รวมถึง ภาพอนาคต ความกลัว ความฝัน และความหวังในมุมมองของชาวดิจิทัลไทย ทั้งหมดนี้ผ่านกระบวนการวิจัยที่ใช้เทคนิควิธีหลากหลาย ทั้งนี้ อัตลักษณ์ชาวดิจิทัลไทย การให้คำนิยามชาวดิจิทัล ที่พบเห็นกันโดยทั่วไป และในงานวิจัยในโลกตะวันตก มักยึดโยงกับช่วงอายุเป็นหลัก แต่ผลการวิจัยชิ้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับอายุที่เป็นเพียงตัวเลข เพราะแต่ละบุคคลมีทั้งความเป็นรุ่นเก่า และรุ่นใหม่อยู่ในตัว โดยสรุปคุณลักษณะสำคัญของชาวดิจิทัลไทย 3 ประการ ได้แก่ 1.เป็นผู้ที่เปิดรับความคิดเห็นคนอื่น ยอมรับความแตกต่าง ยินดีปรับเปลี่ยน ไม่ยึดติดกับรูปแบบความคิดของตัวเอง 2.ใช้เทคโนโลยีเป็น ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การติดต่อสื่อสาร ที่สำคัญคือ รู้เท่าทันเทคโนโลยี และ 3.มีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ วิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์ของชาวดิจิทัล ไม่ยึดติดกับกรอบ หรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง คุณลักษณะเหล่านี้สามารถปรากฏได้ในประชากรทุกเพศทุกวัยเช่นกัน หรือที่เรียกได้ว่า Stay Young Forever นั่นเอง
รศ.ดร.จุลนีกล่าวว่า คุณลักษณะของชาวดิจิทัลไทยหลายประการ คล้ายคลึงกับชาวดิจิทัลในต่างประเทศ แต่มีบางเรื่องที่แตกต่างกัน เช่น ประเด็นการตัดสินใจที่มีความเป็นอิสระ การรักความสนุกสนาน และความรู้สึกผสม ทั้งความมั่นใจ และไม่มั่นใจในการแสดงออกทางสื่อ Social Media เป็นต้น ทั้งนี้ ชาวดิจิทัลทั้งในตะวันตก และไทย รักในอิสรภาพ แต่วิธีการตีความอิสรภาพ หรือสถานการณ์ อาจมีความแตกต่างกัน เช่น ชาวดิจิทัลไทยตีความอิสรภาพ ว่าคือการทำ และตัดสินใจได้อย่างอิสระ ซึ่งกลับกลายเป็นว่าการมีโทรศัพท์มือถือ เป็นทั้งเครื่องมือที่ช่วยสร้างความเป็นอิสระ แต่ขณะเดียวกันก็ริดรอนอิสระด้วย เพราะใช้มือถือในลักษณะที่เราต้องตกเป็นทาสหรือขาดสิ่งนี้ไม่ได้ เป็นต้น
“อีกหนึ่งคุณลักษณะเด่นของชาวดิจิทัลไทย คือการแสดงอารมณ์ขัน หรือความตลกปนการล้อเลียน ที่ผสมกลมกลืนกับเรื่องราว หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง และโลกเสมือนจริง นอกจากนี้ ยังมีลักษณะความมั่นใจที่ปะปนกับความไม่มั่นใจในตัวเอง ยกตัวอย่างชาวดิจิทัลไทยชอบ selfie โพสต์รูปตัวเอง โพสต์สิ่งต่างๆ เพื่อแสดงความโดดเด่น แตกต่าง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากที่จะแตกต่าง กลัวตกกระแส แสดงว่ามีความมั่นใจที่ซ่อนความไม่มั่นใจเอาไว้อยู่ เป็นต้น” รศ.ดร.จุลนี กล่าว
รศ.ดร.จุลนีกล่าวอีกว่า ในบริบทสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประชากรสูงวัยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ช่องว่างระหว่างวัยดูจะถ่าง และห่างขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า ชาวดิจิทัลไทยยังให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ในครอบครัว และเห็นช่องทางการลดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัวด้วยเทคโนโลยี ซึ่งชาวดิจิทัลไทยสอนให้ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัยในครอบครัว ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี และสอนให้ใช้การสื่อสารผ่านสื่อสมัยใหม่ เช่น Facebook หรือ LINE ที่จะเป็นช่องทางเชื่อมต่อคนระหว่างวัย และสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
“ทั้งนี้ ชาวดิจิทัลไม่ยึดติดกับการเรียนในสถาบันการศึกษาอย่างที่เคยเป็นมา พื้นที่ของการเรียนรู้ของชาวดิจิทัล ขยายขอบเขตครอบคลุมทั้งพื้นที่ทางกายภาพเดิม และพื้นที่บนโลกออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อทักษะ วิธีคิด ตลอดจนพฤติกรรมของพวกเขา วิถีชีวิตของชาวดิจิทัลรุ่นใหม่รวดเร็ว การรับรู้ข่าวสารทำได้มากกว่าหนึ่งทางในเวลาเดียวกัน การทำให้สั้น และกระชับ เป็นสิ่งชาวดิจิทัลรุ่นใหม่ต้องการ สำหรับชาวดิจิทัล ครูไม่ใช่ผู้ให้ความรู้ หรือศูนย์กลางของข้อมูลอีกต่อไป แต่เป็นผู้กระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการใช้สื่อการสอนรูปแบบต่างๆ เพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดของผู้เรียนเป็นหลัก” รศ.ดร.จุลนี กล่าว