นักเรียนกาฬสินธุ์ ชี้ไม่มีปัญหาแยกวิชาประวัติศาสตร์ แต่ต้องเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจบริบทของสังคม ไม่ใช่เพื่อรักชาติ ให้ น.ร.คิด-ตั้งคำถาม-วิเคราะห์ได้ มากกว่าปลูกฝังเรื่องต่างๆ ด้านนักวิชาการเห็นด้วยแยกวิชา แต่ต้องปรับหลักสูตรภาพรวม ไม่ใช่มุ่งสนองผู้มีอำนาจ พร้อมจี้ปรับกระบวนการเรียนรู้ใน 4 เรื่อง ‘ตรีนุช’ รับไม่เน้นท่องจำ เรียนรู้พื้นที่จริง
จากกรณีที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เตรียมลงนามในประกาศ ศธ.เรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ 1 รายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) มีมติเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ปีงบประมาณ 2566 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอ ขณะที่นักวิชาการมีความเห็นต่าง มองว่าปัญหาคือวิธีการสอน เนื่องจากโรงเรียนจัดการเรียนการสอนตามอุดมคติของรัฐ ทั้งที่การสอนประวัติศาสตร์ ต้องให้เด็กตั้งคำถาม และวิพากษ์ข้อมูลหลักฐานได้นั้น
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา และอดีตประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 7 เปิดเผยว่า เรื่องนี้ต้องดูภาพใหญ่ทั้งระบบ ส่วนตัวเห็นด้วยกับการแยกวิชาประวัติศาสตร์ แต่ไม่เห็นด้วยกับการแยกในรูปแบบที่นำเนื้อหามาปะผุ ต่อเติม หากจะแยกต้องปรับหลักสูตรใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่การนำประวัติศาสตร์มาต่อเติมเพื่อให้เด็กเรียน ขณะเดียวกันจะต้องเตรียมครูให้มีความพร้อมสำหรับการสอนที่เน้นกระบวนการคิด วิเคราะห์ ไม่ใช่สอนแบบท่องจำ
“ที่ น.ส.ตรีนุชทำแบบนี้ เร่งรีบเกินไป เป็นการทำตามความคิด และความเห็นของผู้มีอำนาจ โดยไม่วิเคราะห์การเรียนในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น ประถมต้น ควรเน้นเรียนวิชาภาษาไทย เพื่อการอ่านออก เขียนได้ ไม่ใช่เน้นเนื้อหาที่หนักเกินไป การทำแบบนี้ สุดท้ายภาระต่างๆ จะไปตกอยู่กับเด็ก และครู เด็กตาย ครูตาย แม้จะบอกว่าไม่เพิ่มชั่วโมงเรียน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กต้องเรียนมากขึ้น เหมือนกับช่วงหนึ่งที่มีนโยบาย ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ เน้นกิจกรรม ก็เป็นการเพิ่มภาระให้ครู และเด็กอยู่ดี อยากให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คิดอะไรให้รอบคอบ ไม่ใช่ทำตามความคิดความเห็นของผู้มีอำนาจ โดยขาดการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง” ผศ.ดร.อดิศร กล่าว
รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ ประธานคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับการแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา เพราะเดิมเด็กเรียนวิชานี้อยู่แล้ว เพียงแต่หากแยกออกมาแล้ว จะต้องพัฒนาการกระบวนการเรียนรู้ให้ดีขึ้นใน 4 เรื่อง คือ 1.เนื้อหา 2.วิธีการจัดการเรียนรู้ 3.สื่อ และแหล่งเรียนรู้ และ 4.การวัดประเมินผล ทั้งนี้ ในส่วนของเนื้อหา ยังมีข้อถกเถียงว่าเนื้อหาแบบไหนที่ควรให้เด็กเรียนรู้ ทำให้เด็กเข้าใจความเป็นชาติของตัวเอง และเนื้อหาแบบไหนที่จะถูกจริตกับเด็กยุคปัจจุบัน กรณีนี้ต้องดูรายละเอียดลึกลงไปถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และประวัติศาสตร์ระดับชาติ เพราะมีความเชื่อมโยงกันทั้งระบบ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
รศ.ดร.ศิริเดชกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ต้องปรับวิธีการจัดการเรียนรู้ จากเดิมสอนแบบเล่าเรื่อง ให้เด็กท่องจำ ต้องเปลี่ยนสอนให้เด็กทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ และนำไปใช้ในอนาคตได้ หรือที่เรียกว่าการเรียนรู้บทเรียนในอดีตอย่างสร้างสรรค์ และนำบทเรียนไปใช้ในการพัฒนาแก้ไขปัญหาอนาคตให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้อย่างมาก ส่วนสื่อ และแหล่งเรียนรู้ มีหลากหลาย แต่การนำข้อมูลมาใช้ต้องระมัดระวัง ไม่เลือกสื่อที่ไม่มีความเป็นกลาง สุดท้ายคือการวัดผลประเมินผล ต้องไม่ใช่การประเมินแบบท่องจำเนื้อหา แต่ต้องประเมินจากความเข้าใจ ให้เด็กได้คิดวิเคราะห์
“จะเห็นได้ว่าหากจะสอนประวัติศาสตร์ แยกออกมาเป็นวิชาหนึ่ง จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ซึ่งเข้าใจว่า สพฐ.ดำเนินการไปบ้างแล้ว ดังนั้น ส่วนตัวจึงเห็นด้วย แต่จะต้องปรับทั้ง 4 กระบวนการให้ดีขึ้น สอนประวัติศาสตร์เพื่อความเข้าใจ สามารถนำไปใช้ในอนาคตได้ ไม่ใช่สอนแบบท่องจำอย่างเดิม” รศ.ดร.ศิริเดช กล่าว
ด้าน น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้หารือร่วมกับผู้บริหาร ศธ.ว่าเมื่อแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาพื้นฐานแล้ว ต้องแยกให้ชัดเจน มีกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกันทั้งระบบ และจะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการสอนที่ไม่เน้นท่องจำ แต่จะเน้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ดังนั้น การสอนต้องใช้สื่อที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ให้ออกไปเรียนรู้แหล่งประวัติศาสตร์ในพื้นที่ สร้างสถานการณ์จำลองให้เด็กเข้าใจประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง เป็นต้น
“ที่สำคัญคือการพัฒนาครู ที่ปัจจุบันไม่มีครูที่จบด้านประวัติศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์มากนัก ดังนั้น ต่อไปจะพัฒนาครูประวัติศาสตร์ทุกสังกัด พร้อมกับพัฒนาสื่อ แม้ปัจจุบันจะมีสื่อการเรียนประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย แต่ยังต้องพัฒนาสื่อบางส่วนเพิ่มเติม เพื่อใช้สำหรับการเรียนการสอนประวัติศาตร์ที่ยาก นอกจากนี้ จะร่วมพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และร่วมกับคณะคุรุศาสตร์/คณะศึกษาศาสตร์ ผลิต และพัฒนาครูสอนประวัติศาสตร์ เป็นต้น” น.ส.ตรีนุช กล่าว
นางกุสุมาวดี พลเรืองทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการแยกประวัติศาตร์ออกมาเป็นวิชาพื้นฐาน เพราะถ้าไม่เรียนรู้ว่าบ้านของตนมีอะไรดี เราจะไม่รู้ตัวตนของตนเอง เป็นเรื่องดีที่แยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา เพราะจะได้มุ่งเน้นการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมาโรงเรียนได้จัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์แบบบูรณาการ ไม่ใช่การเรียนแบบท่องจำแบบที่ทุกคนเข้าใจ ครูของโรงเรียนได้สอนให้เด็กสนุกกับการเรียนประวัติศาสตร์ของชาติ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งจะทำภาคภูมิใจกับความเป็นไทยด้วย
น้องแพนด้า นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ก็มุ่งที่จะเรียนด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ได้สนใจในสายที่ไม่ได้เรียน จึงคิดว่าวิชาประวัติศาสตร์ ไม่จำเป็นสำหรับตน เพราะไม่ได้นำไปใช้ต่อในอนาคต แต่มองว่าการเรียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่การเรียนเพื่อรักชาติ ควรเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจในบริบทต่างๆ ของสังคมมากกว่า
น้องครีม นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไรกับการแยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐาน ส่วนตัวมองว่าการเรียนประวัติศาสตร์ ควรจะสอนให้นักเรียนคิดได้ ตั้งคำถาม และคิดวิเคราะห์ได้เอง มากกว่าที่จะปลูกฝังเรื่องต่างๆ