“ชัยพฤกษ์” ยัน “อาชีวะเอกชน” บริหารงานอิสระ เร่งถ่ายโอน งบ-งาน ตั้ง “อาชีวศึกษาจังหวัด” ดูแล สอศ.นัดถกผู้บริหารอาชีวะทั่วปท. 19 ก.พ.

ความคืบหน้ากรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พ.ศ.2557 ลงนามในคำสั่งคสช.ที่ 8/2559 รวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนทั่วประเทศ มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) โดยในส่วนสอศ.ได้ประชุมผู้แทนจากสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน สถาบันอาชีวศึกษารัฐ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เกี่ยวกับการบริหารจัดการ รวมถึงการถ่ายโอนภาระกิจและงบประมาณ โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ และจะมีการรวมกันอย่างสมบูรณ์ในภาคเรียนที่ 1/2559 ขณะที่วิทยาลัยบางแห่งยังมีความกังวล ทั้งเรื่องการเปลี่ยนผ่านและการจัดสรรการรับนักเรียนนั้น ความคืบหน้าล่าสุด นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า จากการหารือกับผู้แทนจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคเอกชน อาชีวศึกษาภาครัฐ และผู้แทนจากสพฐ. เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะคสช. ที่ให้รวมอาชีวศึกษาภาครัฐ และภาคเอกชน นั้นตนเองบอกที่ประชุมไปว่า เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เพราะจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน พัฒนาไปด้วยกัน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการศธ. ทั้ง การสร้างแรงจูงใจ การปรับภาพลักษณ์ผู้เรียน การเดินหน้าสร้างวิทยาลัยอาชีวศึกษาเฉพาะทาง และการพัฒนาอาชีวศึกษาสู่สากล โดยสถาบันอาชีวะเอกชน จะยังมีความอิสระในการบริหารจัดการ ภายใต้พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนเช่นเดิม ขณะที่สอศ.จะทำหน้าที่เหมือนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เคยทำ คือส่งเสริม และสนับสนุนการจัดการศึกษาของอาชีวะเอกชน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วมกันทั้งงบประมาณ และบุคลากร

เลขาธิการกอศ.กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การทำงานเกิความราบรื่น ดังนี้ ตนจะออกคำสั่งจากเลขาธิการกอศ. ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 8/2558 เพื่อมอบอำนาจการบริหารฯ ตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 (ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2554) ไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)ทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แทนการมอบอำนาจจากเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) สำหรับสถานศึกษาในกรุงเทพมหานคร ให้ขึ้นตรงกับส่วนกลางหรือสอศ. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ระยะต่อไป จะมีการถ่ายโอนอำนาจจาก สพป. ผู้ว่าราชการ 5 จังหวัดภาคใต้ เป็นอาชีวศึกษาจังหวัด (อศจ.) ทำหน้าที่ดูแลในเรื่องต่างๆต่อไป ส่วนสถานศึกษาสายสามัญที่ขยายเปิดสอนหลักสูตรอาชีวะ และอาชีวะขยายเปิดสอนสายสามัญในระยะแรก ให้จัดการเรียนการสอนไปตามปกติ และจะมีการพิจารณา “แยกใบอนุญาต” ออกตามระดับที่เปิดสอน โดยพิจารณาตามมาตรฐานของการจัดตั้งสถานศึกษา ตามระเบียบของต้นสังกัด กล่าวคือเป็น 1 สถานศึกษา 2 ใบอนุญาต ตามมาตรฐานการจัดตั้ง และหากสถาบันใดจะขอยกเลิกหลักสูตรประกาศนียบัติวิชาชีพ ( ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ที่เปิดสอน ในระหว่างนี้ ให้ทำตามระเบียบการขอยกเลิกการเปิดหลักสูตร ตามระเบียบ สช. เดิมไปก่อน

นายชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเป้าหมายในการเพิ่มยอดผู้เรียนสายอาชีวะ กับสายสามัญ เป็น48:52 นั้น จะมีการหารือถึงแนวทางดำเนินการวันที 19 กุมภาพันธ์ โดยสอศ.จะมอบหมายให้แต่ละจังหวัดดูแลในเรื่องการรับนักเรียน นักศึกษา ภายในจังหวัดให้เหมาะสม เพราะเดิมอาชีวะรัฐที่มีชื่อเสียงบางแห่งเปิดรับเด็กโดยไม่จำกัดจำนวน ทำให้วิทยาลัยอาชีวเอกชนในจังหวัดเดียวกัน รับเด็กได้น้อย ดังนั้นในการรับเด็กเข้าเรียนปีการศึกษา 2559 วิทยาลัยอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนในจังหวัดต่าง ๆ จะต้องไปหารือร่วมกัน ส่วนแนวทางอื่น ๆ ต้องรอข้อสรุปจากการหารือ ซึ่งหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะทำให้ตัวเลขนักเรียน นักศึกษาใหม่ ทั้งอาชีวะรัฐและเอกชน รวมกันอยู่ที่ประมาณ 250,000 คน

“ส่วนกรณีที่ยังมีสถาบันอาชีวะเอกชน บางแห่งยังมีความกังวล ในเรื่องความพร้อมของสอศ. ในการรวมกันครั้งนี้นั้น รัฐมนตรีว่าการศธ. เองก็แสดงความห่วงใยในประเด็นดังกล่าว โดยขอให้เร่งทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ซึ่งผมเองก็เร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าการรวมกันครั้งนี้เอกชนจะได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ”นายชัยพฤกษ์กล่าว และว่า ส่วนการปรับโครงสร้างศธ. ในส่วนอื่น ๆ นั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียดในภาพรวม ทั้งนี้ในส่วนของการจัดตั้งกรมวิชาการ โดยหลักการสอศ. เห็นด้วย แต่การจัดการเรียนการสอนของสอศ. มีความเชื่อมต่อตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไป จนถึงระดับอุดมศึกษา หากจะตั้งกรมวิชาการ และดึงหน่วยงานที่ดูแลมตราฐานหลักสูตรของสอศ. ในปัจจุบันออไปด้วย ก็อาจจะทำให้การจัดการหลักสูตรไม่เกิดควรามเชื่อมโยงกัน เพราะเท่าที่ดู โครงสร้างของกรมวิชาการ ไม่รวมหลักสูตรระดับอุดมศึกษาเข้าไปด้วย

นายจอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สวทอ.) กล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศคำสั่งหัวหน้าคสช. รวมอาชีวะรัฐ และเอกชน ได้มีการเตรียมความพร้อมมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าบางวิทยาลัยยังมีความกังวล โดยเฉพาะความพร้อมของสอศ.ในการเปลี่ยนผ่าน งบประมาณ ไปจนถึงการบริหารจัดการอื่น ๆ ซึ่งวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ตน นัดวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนหารือชี้แจงทำความเข้าใจ รวมถึงเปิดโอกาสให้แต่ละวิทยาลัย ได้สะท้อนปัญหา และข้อกังวลต่าง ๆ ก่อนนำเข้าหารือในการประชุมร่วมกันระหว่างอาชีวะรัฐและเอกชน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ส่วนนักเรียน นักศึกษาที่เรียนในสถาบันอาชีวะเอกชนนั้น คิดว่านักเรียน นักศึกษาคงไม่กังวลอะไรและเท่าที่ดูเด็กเองจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด

ADVERTISMENT

น.ส.ภัทราวดี รามสูต ปวช.1 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสงขลา สังกัดสอศ.กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และอยากให้ทางวิทยาลัยหรือผู้เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับนักเรียน นักศึกษาด้วย เพราะถือว่าได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นด้วยกับการรวมอาชีวะรัฐและอกชนเข้าด้วยกัน เพราะเท่าที่ดูและรับฟังการแนะแนวการศึกษาต่อของวิทยาลัยเอกชน พบว่า จัดการศึกษาได้ค่อนข้างดี มีห้องเรียนที่ทันสมัยและมีครูผู้สอนจำนวนมาก ดังนั้นหากรวมกันได้ ก็คิดว่าจะทำให้เกิดความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนทรัพยากร หรือองค์ความรู้ระหว่างกันได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา