พรรคการเมืองตบเท้า โชว์นโยบายการศึกษา จัดหนักสารพัดแจก น.ร.-ครู ทั้งคูปอง อาหารกลางวัน ให้ทุน เพิ่มรายหัว
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมบุณยเกตุ คุรุสภา สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) จัดเวทีเสวนา ครูคิดวันปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2566 “คิดเพื่อเด็กเพื่อครูและประเทศชาติ” เพื่อเสนอกฎหมายการศึกษาต่อพรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วม นั้น นายเสน่ห์ ขาวโต ตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้ตรวจราชการ ศธ. หวังจะเป็นตัวแทนของครู เพื่อเป็นปากเป็นเสียง ให้พี่น้องครู ทุกวันนี้ครูทำงานหนัก แต่คุณภาพการศึกษาตกต่ำ จะทำอย่างไรให้เด็กไทยได้รับการศึกษาที่เท่าเทียม โดยทาง พปชร. ได้รวบรวมความคิดเห็นจากตัวแทนทุกภาคส่วน ซึ่งคิดว่า การศึกษาต้องปรับเปลี่ยน ต้องปรับระบบการศึกษา โดยเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหา เปลี่ยนโลกในห้องเรียน ทุกวันนี้ โลกไปไกลมาก ไม่ได้มีเฉพาะการศึกษาในห้องเรียนเท่านั้น ต้องมองโอกาสทางการศึกษาให้เด็กทันโลก ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ครูมีส่วนในการบริหาร
“ต้องทำให้การศึกษาเป็นสวัสดิการที่แท้จริง โดยจัดคูปองการศึกษาประชารัฐขึ้น ให้กับผู้เรียนทุกคนลงทะเบียนนำคูปองไปใช้แทนค่าใช้จ่าย ทั้งหนังสือเรียน แบบเรียน รวมถึงนมโรงเรียนด้วย ลดความเหลื่อมล้ำ จัดโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 ทุนประชารัฐ คัดเลือกเด็ก ม.6 เรียนปริญญาตรี เมื่อจบแล้วกลับมาทำงานเพื่อท้องถิ่น อาชีวศึกษาต้องเรียนฟรี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รวมถึงต้องมีรายได้ที่สูงกว่าปัจจุบัน”
นายเสน่ห์กล่าวต่อว่า ให้ค่าอาหารกลางวันโรงเรียนเอกชน เช่นเดียวกันโรงเรียนรัฐ บริหารจัดการ กศน.ตำบล ยกระดับเป็นสถานศึกษา ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับครู รัฐต้องหาบุคลากรที่ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน รวมถึงดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพของครู สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) มีความจำเป็นต้องอยู่ ดูแลสวัสดิการครู และต้องอยู่อย่างสง่างาม
ดร.ปรีดา บุญเพลิง หัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน กล่าวว่า ตนเป็นอดีตครูบ้านนอก เป็นครูใหญ่โรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีครูคนเดียวสอน 4 ชั้น เป็นประธานชมรมครูหลายองค์กร ถึงวันนี้ยังไม่มีการกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษา เพราะเรื่องผลประโยชน์ มีการทำลายมากที่สุดในปี 2557 ยุบคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) โดยอ้างว่ามีการทุจริต ดังนั้น การเมืองอย่างเดียวที่จะเข้ามาแก้ปัญหาได้ โดยใช้การศึกษานำการเมือง ปฏิวัติหลักสูตรยุคใหม่ ลดเวลาเรียนให้สั้นลง เพื่อพัฒนาคนเข้าสู่ระบบงานได้เร็วขึ้น กระจายอำนาจให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคลเต็มรูปแบบ คิดรายหัวนักเรียนเฉลี่ย ระดับอนุบาล คนละ 20,000 บาทต่อคนต่อปี ประถมศึกษา 30,000 บาทต่อคนต่อปี มัธยมศึกษา/ปวช. 40,000 บาทต่อคนต่อปี เป็นต้น เด็กนักเรียนทุกคนต้องได้รับอาหารเช้า กลางวัน เย็นฟรี ตลอดทั้งวัน คืนครูให้นักเรียนด้วยการยกเลิกกิจกรรม โครงการที่ไม่ส่งเสริมคุณภาพผู้เรียน
ดร.วิทยา อินาลา หัวหน้าพรรคไทยพร้อม กล่าวว่า นโยบายการศึกษาของไทยพร้อม คือการเรียนรู้ตลอดชีวิต อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน การศึกษาในอนาคตต้องเปลี่ยนรูปแบบ ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นครู ต้องกำหนดกติกาของครูเอง ทางพรรคสนับสนุน พ.ร.บ.การศึกษาฯ ฉบับครูและประชาชน ที่จะเร่งผลักดันให้เป็นกฎหมาย เพื่อให้ได้สภาครูที่ถูกยุบเลิกไปกลับคืนมา ส่วนที่ค้างอยู่ในสภา ทางพรรคไม่สนับสนุน เพราะไม่รู้ว่าใครเอาอะไรมาให้ ตนเป็นนักธุรกิจที่สนใจเรื่องการศึกษา เพื่อสร้างคนให้เป็นคนดีและคนเก่ง โรงเรียนต้องเป็นสถาบันหนึ่งที่จะหล่อหลอมให้นักเรียนเป็นคนดี พัฒนาประเทศ ไม่ใช่เอาแต่คนเก่งเข้ามา สุดท้ายเกิดการคอร์รัปชั่น ถึงเวลาแล้วที่ต้องต่อสู้เพื่อการศึกษา หาคนดี มองการณ์ไกลมาบริหารประเทศ จะเลือกคนที่เก่งความมั่นคงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
รศ.ดร.สุรวาท ทองบุ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ทุกข้อเรียกร้อง หลายอย่างตนทำแล้ว เสนอ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมด 9 ฉบับ และประธานสภาให้ความเห็นแล้วว่า 5 ฉบับเป็นกฎหมายที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง สำหรับร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฯ มีพรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่ไม่รับหลักการร่างนี้ แต่ต้องยอมรับเสียงข้างมากในขณะนั้น ตนอยู่อันดับที่ 30 บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ซึ่งหากต้องไปเป็นฝ่ายค้านอีก เหมือน 4 ปีที่ผ่านมา คงไม่พ้นรับข้อเรียกร้องเช่นเดิม ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา 41 นโยบาย เป็นนโยบายโอบรัดผู้เรียน ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียม
ดร.กวินทร์เกียรติ นนท์พละ ที่ปรึกษาทีมนโยบายการศึกษาพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับครูและบุคลากรทางการศึกษามานานกว่า 40 ปี รู้เห็นข้อขัดข้อง อุปสรรคทางการทำงาน ที่ค่อนข้างครอบคลุม ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวะ เอกชน ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนการศึกษา 4 ข้อหลัก คือ 1.ต้องสร้างขวัญกำลังใจให้ครูทุกคน 2.ต้องเป็นการกระจายอำนาจไปสถานศึกษา 3.นำเทคโนโลยีเข้าช่วยลดปัญหาขยะเอกสารของครู และ 4.จะต้องทำให้คนทำงานมีความสุข สิทธิประโยชน์และสวัสดิการต้องทั่วถึงและเป็นธรรม
ดร.กวินทร์เกียรติกล่าวต่อว่า โดยจะดำเนินการใน 2 ยุทธศาสตร์หลัก คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ต้องปรับปรุง แก้ไข ปรับเปลี่ยน และตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะ พ.ร.บ.การศึกษาฯ เท่านั้น แต่รวมไปถึงพ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ร.บ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา เป็นต้น เพราะ ทุกอย่างยังไม่สอดคล้องต้องกัน มีปัญหา ล้าหลัง ย้อนแย้ง ยุทธศาสตร์ที่ 2 นำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมทางการศึกษา วันนี้เด็กเกิดลดลงเหลือปีละ 4.9 แสนคน ผลกระทบเกิดขึ้นโดยรวม โรงเรียนเอกชน มหาวิทยาลัย รับเด็กได้น้อยลง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องมาร่วมมือกัน อนาคต เด็ก 1 คนอาจสามารถเรียนพร้อมกันได้ 2 แห่ง โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่นกันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครู ต้องปรับปรุง การขอมีและเลื่อนวิทยฐานะต้องดูจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก ไม่ใช่การให้ครูนั่งทำเอกสาร เพื่อไทยตั้งใจทำหลักสูตรใหม่เพื่อใช้เรียนร่วมกัน เช่น วิชาความดี ส่วนวิชาที่เหลือให้เด็กสามารถเลือกเรียนเองได้ เพราะจะไปสัมพันธ์กับอาชีพในอนาคต