ป้ามล-ทิชา นำทีมภาคีเครือข่ายเด็กและสตรีกว่า 100 องค์กร ร้อง ‘บิ๊กอุ้ม’ ใช้ยาแรงแก้ปัญหาคุกคามทางเพศ

ป้ามล-ทิชา ณ นคร นำทีมภาคีเครือข่ายเด็กและสตรีกว่า 100 องค์กร ร้อง ‘บิ๊กอุ้ม’ ใช้ยาแรงแก้ปัญหาคุกคามทางเพศ หลังศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต 6 จำเลย มุกดาหาร ข่มขืน รุมโทรมนักเรียน

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พร้อมด้วย น.ส.อังคะนา อินทะสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พร้อมด้วยตัวแทนภาคีเครือข่ายองค์กรด้านเด็ก สตรี ครอบครัว กว่า 40 คน ยื่นหนังสือที่มีองค์กรด้านเด็ก สตรี ครอบครัวและภาคประชาสังคม กว่า 100 องค์กร ร่วมลงชื่อถึง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เพื่อแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้องต่อ ศธ. ภายหลังศาลจังหวัดมุกดาหาร มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ให้จำคุกจำเลย 6 ราย แบ่งเป็นครู 4 คน รุ่นพี่ 2 คน ตลอดชีวิต และให้ชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งรวมกว่า 3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ฐานก่อเหตุข่มขืน รุมโทรม นักเรียน 3 คนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562-2563 โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. ในฐานะโฆษก ศธ. รับเรื่องแทน

นางทิชากล่าวว่า การที่ศาลตัดสินถือเป็นความสำเร็จระดับปัจจัยเจก แต่หากต้องการให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็กอย่างแท้จริง ศธ. ต้องส่งสัญญาณเพื่อแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ทางเครือข่ายยุติความรุนแรงทางเพศในสถานศึกษา กว่า 100 องค์กร เห็นว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยกับนักเรียนในความดูแลของ ศธ. และเกิดจากการกระทำของบุคลากรทางการศึกษาเอง สะท้อนถึงความรุนแรงทางเพศที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาไทย เครื่องข่ายจึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้

1.เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงต่อเด็กนักเรียนที่เป็นการละเมิดกฎหมายให้ ศธ. ทำหน้าที่เป็นเจ้าทุกข์ร่วมในการแจ้งความและฟ้องดำเนินคดีทางอาญา ประสานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เด็กผู้เสียหายและผู้ปกครอง ช่วยจัดการให้ถึงความคุ้มครองสวัสดิภาพและได้รับการเยียวยาทางจิตใจโดยด่วน 2.หากสอบสวนพบครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรียน ให้ ศธ.ลงโทษทางวินัยขั้นสูงสุด ถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ไม่ให้ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนโดยเด็ดขาด 3. รัฐมนตรีหรือผู้บริหารระดับสูงของ ศธ.รีบดำเนินการเอาผิด ป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงช่วยเหลือผู้กระทำผิด ต้องรีบลงพื้นที่สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้เสียหาย ครอบครัว รวมถึงครู นักเรียนที่ไม่ได้กระทำผิด

ADVERTISMENT

นางทิชากล่าวต่อว่า 4.เร่งจัดเวทีระดมสมองจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนานโยบายและมาตรการเชิงรุกในการป้องกัน แก้ไขปัญหาที่ปฏิบัติได้จริง สำหรับโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศ 5.ทบทวนการทำงานของศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ (ศคพ.) และพัฒนาให้มีความเป็นอิสระ เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย มีองค์กรภายนอกที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็กและแก้ปัญหาความรุนแรงทางเพศเข้าร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง 6.ให้การศึกษาแก่ครูและผู้บริหารโรงเรียนทั่วประเทศเกี่ยวกับหลักการและแนวปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็ก การเคารพความเสมอภาคมทางเพศ และมีแนวปฏิบัติเพื่อสร้างให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากความรุนแรงทางเพศ และ 7.ขอให้ประชาชน ผู้ปกครอง ช่วยจับตา สอดส่องความผิดปกติของครู นักเรียน และโรงเรียนที่อาจนำไปสู่การคุกคามทางเพศ เพื่อให้เกิดการป้องปราม ตัดวงจรที่จะนำไปสู่ความเสียหาย

น.ส.อังคะนากล่าวว่า ทางมูลนิธิฯ เคยมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และพยายามจะให้การแก้ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ซึ่งเกิดขึ้นจริง มีข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่จะเป็นบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ เราคาดหวังและมีความหวังให้ ศธ.มีกลไกทำงานขับเคลื่อนทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยกับเด็กๆ อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมข่าวความรุนแรงทางเพศ ปี 2564 จากหนังสือพิมพ์ 13 ฉบับ พบข่าวความรุนแรงทางเพศรวม 98 ข่าว กว่าครึ่งหนึ่งกลุ่มผู้ถูกกระทำอายุระหว่าง 11-15 ปี ร้อยละ 60 ผู้ถูกกระทำเป็นเด็ก วัยรุ่นและนักเรียน ร้อยละ 16 ของข่าวผู้กระทำเป็นบุคลากรทางการศึกษา และเมื่อลงรายละเอียดพบว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติดเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อเหตุถึงร้อยละ 38 และร้อยละ 19 ตามลำดับ สอดคล้องกับกรณีมุกดาหาร ที่พบว่าหลังบ้านพักครูจะพบกองขวดเหล้าเบียร์จำนวนมาก จุดที่น่าสังเกตคือเหตุการณ์นี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ทำไมคนในพื้นที่จึงไม่เห็นความผิดปกติ ดังนั้น การมีส่วนรวมของชุมชน คนในพื้นที่ นักเรียนรวมถึงครูที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการจึงมีความสำคัญมาก

ADVERTISMENT

นายสิริพงศ์กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตามนโยบายเรียนดี มีความสุข และแน่นอนว่าความสุขในสถานศึกษา และความสุขของผู้เรียนจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังมีการใช้ความรุนแรงในโรงเรียน หรือมีการคุกคามทางเพศในสถานศึกษา ทั้งนี้ กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว ส่วนตัวมองว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดที่สุดในกระบวนการศึกษา ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก ทุกวันจะมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาที่ ศูนย์ความปลอดภัย หรือ MOE Safety Center ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลโดยเร็วที่สุด

โดยจะมีบางกรณีที่คล้ายกับมุกดาหาร แนวทางของ ศธ. มีความชัดเจนว่า เมื่อมีประจักษ์พยานชัด จะแยกผู้ล่วงละเมิดออกจากเหยื่อก่อน และสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยที่ยังไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ศธ.ใช้ยาแรงเพื่อที่จะป้องปรามผู้ที่ก่อเหตุในลักษณะนี้ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ศธ. ยินดีที่จะเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image