สัมภาษณ์พิเศษ : ‘ยศพล เวณุโกเศศ’ ลุยภารกิจปั้น ‘น.ศ.อาชีวะ’ รองรับ..10 อุตสาหกรรม S-Curve

สัมภาษณ์พิเศษ : ‘ยศพล เวณุโกเศศ’ ลุยภารกิจปั้น ‘น.ศ.อาชีวะ’ รองรับ..10 อุตสาหกรรม S-Curve

หมายเหตุ… นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 และได้บริหารงานในตำแหน่งครบ 5 เดือน “มติชน” จึงถือโอกาสจับเข่าคุย ถึงนโยบาย ทิศทาง แนวทางการบริหาร และปัญหาอุปสรรค ในการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวศึกษา

๐ แนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา?

“ตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล มีจุดเน้นคือ เพิ่มผู้เรียนสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษาให้มากขึ้น โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้กำหนดเป็นนโยบายหลัก ทั้งเรียนดี มีความสุข ลดภาระครู และบุคลากรทางการศึกษา ลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง ใน 2 มิติ คือ สร้างการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงในชีวิต ในส่วนของอาชีวะ จะอยู่ในมิติการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต และลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษา การอัพสกิล รีสกิล การส่งเสริมให้มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ 100% เป็นต้น

อีกประเด็นที่สำคัญ คือการจัดทำธนาคารหน่วยกิต หรือเครดิตแบงก์ เพื่อใช้ในการเทียบวุฒิการศึกษา ระหว่างสถาบันอาชีวศึกษา สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ของกระทรวงแรงงาน โดยมีสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นเซ็นเตอร์กลาง หรือธนาคารเครดิตกลางในการเทียบเคียง ทั้งหมดนี้คือ การดำเนินงานระดับนโยบาย

ADVERTISMENT

ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เมื่อรับนโยบายมาแล้ว ก็แปลงเป็นนโยบายการพัฒนาอาชีวศึกษา : 8 วาระงานพัฒนาอาชีวะ (8 Agenda) ดังนี้ ส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime), พัฒนาทักษะวิชาชีพเพื่อลดภาระของผู้เรียน และผู้ปกครอง (Skill Certificate), ยกระดับคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง, พัฒนาระบบการเทียบระดับการศึกษาและคลังหน่วยกิตอาชีวศึกษา (Credit Bank), พัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อการศึกษา และทำงาน (Language Skills), สร้างช่างชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีอาชีพเสริม (1 วิทยาลัย 1 ศูนย์ช่างชุมชน), เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลและการบริหารจัดการ และเสริมสร้างภาพลักษณ์อาชีวศึกษายุคใหม่”

๐ การส่งเสริมการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี?

“การจัดการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี ถือเป็นนโยบายที่สำคัญ โดย สอศ.ร่วมกับสถานประกอบการในทุกอุตสาหกรรมที่มีสาขาการสอน เช่นเดียวกัน ทุกอุตสาหกรรมพยายามวิ่งเข้าหาอาชีวะ เพื่อนำเด็กเข้าสู่กระบวนการทวิภาคี ซึ่งในส่วนของ สอศ.อยากส่งเสริมให้เด็กเข้าสู่ระบบทวิภาคี เพราะอย่างแรก เด็กได้เรียนในสาขาที่ต้องการ มีค่าตอบแทนรายเดือน มีค่ารักษาพยาบาลเทียบเท่ากับพนักงานประจำ มีเงินค่าที่พัก ที่สำคัญบางแห่งให้ทุนเรียนฟรีถึงปริญญาตรี หากเรียนจบแล้ว มีโอกาสได้ทำงานต่อเนื่อง ตรงนี้เป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่พยายามดำเนินการให้มากที่สุด

ขณะนี้มีผู้ประกอบการที่ร่วมจัดการศึกษาระบบทวิภาคีแล้วกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ยังร่วมมือกับต่างประเทศจัดการเรียนการสอนในระบบทวิภาคี ทั้งอิสราเอล ที่เน้นสอนด้านการเกษตร รวมถึง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านอุสาหกรรมการบิน ที่ประสานงานติดต่อทำความร่วมมือจัดการศึกษาในระบบทวิภาคีอย่างต่อเนื่อง หากนักศึกษาสามารถทำงานได้ดี ก็มีโอกาสมีงานทำทันทีที่เรียนจบเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันยังไม่ทิ้งการเรียนในระบบทวิศึกษา เป้าหมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเด็กด้อยโอกาส เช่น กลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ เด็กชายขอบ ที่เรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ได้เรียนสายสามัญ ควบคู่ไปกับสายอาชีพ เช่น การเกษตร งานช่างต่างๆ เพื่อให้มีงานทำ เลี้ยงดูตัวเองได้ในอนาคต โดยเน้นให้เด็กได้เรียน และทำงานในภูมิลำเนาเป็นหลัก ทั้งหมดนี้เป็นส่วนของการพัฒนาการเรียนการสอนตามนโยบาย โดย สอศ.พยายามปรับหลักสูตรให้มีความทันสมัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คือ เรียนดี มีความสุข จบแล้วมีงานทำ มีรายได้ระหว่างเรียน”

๐ ที่ผ่านมาได้ติดตามเด็กที่เรียนจบไปแล้วหรือไม่ ว่ามีงานทำมากน้อยแค่ไหน?

“รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มีนโยบายอยากให้ สอศ.ติดตามการมีงานทำของเด็กที่จบออกไปแต่ละปีให้ได้ 100% โดยแต่ละปี สอศ.มีเด็กที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีละกว่า 290,000 คน และในปี 2565 ที่ผ่านมา สอศ.ติดตามเด็กได้กว่า 220,000 คน คิดเป็น 70% ของจำนวนเด็กที่เรียนจบทั้งหมด ในจำนวนนี้กว่าครึ่งหนึ่ง เลือกที่จะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ทั้งปริญญาตรี และ ปวส.โดยเฉพาะเด็กที่จบ ปวช.ที่เรียนเร็ว ถ้าเรียนจบ ปวช.แล้วอายุไม่ถึง 18 ปีบูริบูรณ์ จะไม่สามารถทำงานได้ บางคนอายุ 16-17 ปีรียนจบแล้ว แต่ไม่สามารถทำงานได้ จึงเลือกเรียนต่อ ที่เหลือส่วนใหญ่มีงานทำ หรืออยู่ระหว่างการสัมภาษณ์งาน รองาน

ดังนั้น ปีการศึกษา 2566 ได้แจ้งไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศให้ช่วยติดตามเด็กให้ได้ 100% เพื่อจะได้นำข้อมูลมาปรับการเรียนการสอน ทั้งเชิงปริมาณ และเชิงประสิทธิภาพ”

๐ การผลิตกำลังคนจะเน้นด้านใดเป็นสำคัญ?

“สอศ.ผลิตกำลังคนรองรับทุกอุตสาหกรรม แต่จะเน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ได้แก่ 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive), อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics), อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Affluent, Medical and Wellness Tourism), อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture and Biotechnology) และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) รวมถึง 5 อุตสาหกรรมอนาคต ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (Robotics), อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics), อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals), อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) และอุตสาหกรรมการแพยท์ครบวงจร (Medical Hub)

ทั้งนี้ แม้จะมีจุดเน้นในการผลิตกำลังคน แต่เมื่อมาดูตัวเลขเด็กที่จบในแต่ละปี ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยอาชีวะผลิตเด็กป้อนตลาดแรงงานได้ปีละ 290,000 คน แต่ภาคอุตสาหกรรมต้องการกำลังคนปีละกว่าล้านคน จึงถือว่าผลิตไม่เพียงพอ และมีสมรรถนะยังไม่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ ดังนั้น ต้องเพิ่มความเข้มข้นของการจัดการศึกษาระบบทวิภาค โดยผลิตเด็กร่วมกับสถานประกอบการ เพื่อให้ตรงตามสมรรถะ และจัดหลักสูตรอัพสกิล รีสกิล เพื่อเพิ่มปริมาณคนที่จบออกไปสู่ตลาดแรงงานให้เพียงพอ เปลี่ยนสถานประกอบการเป็นสถานศึกษา เรียนไปทำงานไป เป็นการเรียนการสอนแบบทวิภาคีที่เข้มข้น เรียนจบแล้วมีงานทำ ขณะที่เด็กจะได้เรียนรู้วิทยาการ และนวัตกรรมใหม่ๆ จากสถานประกอบการ

อีกทั้ง ยังขอความร่วมมือสถานประกอบการส่งผู้เชี่ยวชาญมา พัฒนาการสอนให้ครูอาชีวะด้วย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม และงานบริการ ที่ยังขาดบุคลากรจำนวนมาก เพราะขณะนี้ไทยกลับมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยกว่า 30 ล้านคน ธุรกิจท่องเที่ยว และโรงแรมจะกลับมาบูม ดังนั้น เมือเร็วๆ นี้ ทางสมาคมธุรกิจโรงแรมจึงเข้ามาพูดคุยเพื่อผลิตกำลังคนให้เพียงพอต่อความต้องการ”

๐ ในช่วง 3-4 ปีนี้ควรเน้นผลิตเด็กในสาขาอาชีพใดมากเป็นพิเศษ?

“คงต้องเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขาดกำลังแรงงาน ส่วนสาขาใดที่ล้น คงต้องลด เช่น ท่องเที่ยวโรงแรม งานบริการ ช่างเชื่อม ยานยนต์ ไฟฟ้า ฯลฯ คงต้องปรับหลักสูตรเพื่อให้เด็กสนใจมาเรียน ส่วนสาขาใดที่ขาดบุคลากรทางการสอน ต้องทำความร่วมมือกับสถานประกอบการ

ผมเข้ามาทำตรงนี้ มีหลักคิดว่า สถานศึกษาอาชีวะไม่ใช่สถานศึกษาอย่างเดียว เราเป็นได้หลายอย่าง ทั้งผู้ปะกอบการ อคาเดมี ศูนย์ฝึกให้กับผู้ประกอบการ อคาเดมีส่งต่อเด็ก เป็นบริษัทจัดหางาน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่อยากจะบอก และถ้าจะสังเกตตัววิทยาลัยอาชีวะเอง ก็ดำเนินการครบวงจร คือจัดการสอน มีหน้าร้าน มีร้านอาหาร นำวัตถุดิบจากเกษตรมาผลิต เป็นต้น”

๐ สัดส่วนผู้เรียนระหว่างอาชีวะ กับสายสามัญ ปัจจุบันอยู่ที่เท่าไร?

“นโยบายอยากให้มีสัดส่วน 50 : 50 เพราะตอนนี้โลกของการเรียนเปลี่ยนไป เป็นการเรียนเพื่อประกอบอาชีพ แต่มีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจำนวนสถานศึกษาสังกัด สพฐ.มีกว่า 29,000 โรงเรียน สอศ.มีวิทยาลัยในสังกัดทั้งรัฐ และเอกชน รวม 877 แห่ง สถาบันอาชีวะที่เปิดสอนระดับปริญญาตรี 23 แห่ง ถ้าดูตามปริมาณบุคลากร และสถานที่ ไม่สามารถรองรับได้แน่นอน โดยปีการศึกษา2566 ที่ผ่านมา สัดส่วนผู้เรียนอาชีวะอยู่ที่ 36.4 : 63.6 ถือว่าเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ส่วนปีการศึกษา 2567 ยังต้องรอดูข้อมูลว่าจะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ สอศ.พยายามผลักดันทุกช่องทางเพื่อเพิ่มผู้เรียน ทั้งสร้างภาพลักษณ์ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ประชาสัมพันธ์ไปยังสถานศึกษาต่างๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเรียนให้กับเด็ก อยากให้เด็กได้เข้าสู่โลกอาชีพ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์โลกในปัจจุบัน”

๐ จุดอ่อน และจุดแข็งของอาชีวะที่จะต้องปรับปรุง มีอะไรบ้าง?

“ข้อดีของอาชีวะมีจำนวนมาก ด้วยบริบทการศึกษา และบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้อาชีวะสามารถจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ และจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่าน ทำให้เห็นว่าผู้ที่ถูกเลย์ออฟจากงานประจำ สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพเองได้ โดยบางคนออกมาขายอาหาร ประกอบธุรกิจส่วนตัว เลี้ยงตัวเอง มีรายได้ ดูแลครอบครัว และสามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ด้วย ประกอบกับนโยบายรัฐบาลมีส่วนสำคัญที่อยากให้เกิดการลงทุน ส่งเสริมการเรียนการสอนอาชีวะ ทั้งหมดนี้ถือเป็นจุดแข็ง ที่ทำให้เห็นภาพ และเชื่อว่าจะทำให้คนอยากเข้ามาเรียนอาชีวะมากขึ้น

ส่วนจุดอ่อน น่าจะเป็นเรื่องทัศนคติของผู้ปกครอง ที่อยากให้ลูกเรียนจบปริญญาตรี และภาพลักษณ์ของอาชีวะ รวมไปถึงสถานศึกษาที่มีน้อย สอศ.เองพยายามปรับวิธีการร่วมมือกับสถานประกอบการ จัดการเรียนการสอนรูปแบบทวิภาคี ประกอบกับอาชีวะยังอ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์ ทำให้คนยังจำภาพเดิม ทั้งเรื่องการทะเลาะวิวาท เด็กไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่เน้นการเรียนภาษาต่างประเทศให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ แต่ต้องมีภาษาที่สามด้วย อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ โดยเน้นภาษาที่เกี่ยวกับอาชีพ เพื่อให้มีความคุ้นเคย”

๐ แนวทางการปรับภาพลักษณ์อาชีวะ และการแก้ปัญหาทะเลาะวิวาท?

“ปัจจุบันปัญหาอาชีวะตีกันแทบจะไม่มีให้เห็น และจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งไม่ใช่เด็กอาชีวะที่ก่อปัญหา แต่เป็นองค์กรอาชญากรรม มีกลุ่มศิษย์เก่าไปรวมตัวกันเพื่อก่อเหตุ รีดไถ แล้วอ้างว่าเป็นเด็กอาชีวะ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ กลุ่มเหล่านี้เป็นอาชญากร ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สอศ.กำหนดมาตรการแก้ปัญหา โดยให้กำหนดเป็นตัวชี้วัด มีทั้งมาตรการแก้ไข และป้องกัน

หากวิทยาลัยใดมีปัญหา ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว ไม่ให้เกิดการลุกลามใหญ่โต รวมถึง ต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครอง หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ผู้บริหารต้องรับผิดชอบ ซึ่งผมมั่นใจว่าปัญหาเด็กอาชีวะทะเลาะวิวาทลดลง โดยได้ยืนยันกับรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ดังนั้น หากเกิดปัญหาขึ้น ผมก็ต้องรับผิดชอบด้วย”

๐ หลักในการทำงาน?

“ยึดหลักการทำงานเป็นทีม สร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน และนำนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาสู่การปฏิบัติ สไตล์ผมทำงานแบบพี่น้อง แต่ต้องมีมาตรฐาน ผลิตเด็กที่มีคุณภาพตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ ที่สำคัญต้องสามัคคีกัน ทำงานอย่างมีความสุข ทุกอย่างต้องเข้าใจกัน ผมไม่มีแน่นอนเรื่องทุจริต คอรัปชั่น ผมไม่มีแนวคิด และไม่ส่งเสริมใครด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเคยทำงานอยู่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ตั้งแต่เริ่มบรรจุ

ดังนั้น จะเห็นเรื่องการลงโทษทางวินัยต่างๆ จึงมีประสบการณ์ดี จะย้ำเสมอว่าให้ทุกคนทำงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล และหลักกฎหมาย จะได้ทำงานอย่างสบายใจ เน้นคุณภาพเด็กเป็นสำคัญ”

๐ มารับตำแหน่งเลขาธิการ กอศ.มีเรื่องใดหนักใจหรือไม่?

“ไม่มีเรื่องอะไรที่หนักใจมากนัก เพราะเคยเป็นรองเลขาธิการ กอศ.มา 3ปี สามารถสานงานต่อ ก่องานใหม่ ได้ทั้งหมด ส่วนที่จะหนักใจอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อน เช่น กรณีโครงการก่อสร้างศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรืออะควาเรียมหอยสังข์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของวิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ จ.สงขลา มีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน ก็อยากเข้าไปช่วยดู ให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม ปัญหานี้ผมเองก็รู้ดี ตั้งแต่สมัยที่เป็นรองเลขาธิการ กอศ.

ขณะที่สังคมคงตั้งคำถามว่าทำไมไม่สร้างต่อให้เสร็จ ตรงนี้ผมไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล ดังนั้น การจะทำอะไรก็ต้องถามไปที่ ป.ป.ช.หาก ป.ป.ช.ให้เดินหน้าต่อ ก็ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อของบประมาณดำเนินการ โดยที่ผ่านมาได้ได้ศึกษา วิเคราะห์โครงสร้าง และพบว่าหากจะเดินหน้าจัดสร้างต่อ คงต้องใช้งบจำนวนมาก”