แพทย์จุฬาฯ จับมือ อภ.ร่วมพัฒนายาต้านมะเร็งให้คนไทย ตั้งเป้าทดลองในผู้ป่วยมะเร็งปอด ปี’68

แพทย์จุฬาฯ จับมือ อภ.ร่วมพัฒนายาต้านมะเร็งให้คนไทย ตั้งเป้าทดลองในผู้ป่วยมะเร็งปอด ปี’68

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวในการแถลงข่าว “แพทย์จุฬาฯ” จับมือ “องค์การเภสัชกรรม” ผลักดันการพัฒนายาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง เนื่องในโอกาสที่จุฬาฯ และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ร่วมลงนามความร่วมมือ “การวิจัย พัฒนา ผลิต จำหน่าย และสนับสนุนการสร้างหลักประกันด้านสุขภาพในการเข้าถึงยาชีววัตถุอย่างถ้วนหน้าให้กับคนไทย” โดยมี รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการ อภ. นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาแอนติบอดีเพื่อการรักษามะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เข้าร่วมงาน ว่า เพื่อร่วมกันวิจัย พัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายยาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่มีผู้ป่วยทั่วโลก โดยบริษัทยาทั่วโลกได้ลงทุน และพัฒนาอย่างแพร่หลาย สำหรับการวิจัยที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ อภ.ดำเนินการวิจัย และพยายามขับเคลื่อนให้ประสบความสำเร็จ จะมีระยะเวลาเบื้องต้น 15 ปี

“การวิจัยเรื่องนี้ท้าทายมาก ทั่วโลกให้ความสนใจ ฉะนั้น สิ่งที่ท้าทายในวันนี้ไม่ใช่แค่องค์ความรู้ แต่จะทำอย่างไรให้นำออกมาใช้กับภาคประชาชนให้ไวที่สุดด้วย ทั้งนี้ ยาที่ร่วมกันผลิตจะต้องมีราคาถูกกว่าท้องตลาดในปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนผลักดันให้เกิดการสร้างหลักประกันด้านสุขภาพต่อการเข้าถึงยานี้ให้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกคน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชน และยังส่งเสริมความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ ทั้งในระดับครอบครัว และระดับประเทศ หวังว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป” ศ.ดร.บัณฑิต กล่าว

ADVERTISMENT

 

รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์

รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ กล่าวว่า คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ โรงพยาบาลจุฬาฯ มีเป้าหมายเป็นศูนย์รักษามะเร็งแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียน มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม และการนำเทคโนโลยีระดับสูงมาใช้ในการวินิจฉัย รักษา พยากรณ์โรค และทำนายผลการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาล และเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย มะเร็งเป็นโรคที่สำคัญ และเป็นโรคที่มีภาระโรคอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศ ในปัจจุบันการรักษามะเร็งด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัดโดยการใช้ยาแอนติบอดีนั้น ถือเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีประสิทธิภาพสูง และมีผลข้างเคียงต่ำ มีข้อบ่งชี้ในการใช้รักษามะเร็งได้หลายชนิด อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เป็นหลักกว่าแสนบาทต่อเข็ม ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าถึงยาได้ยาก

ADVERTISMENT

“ในฐานะที่จุฬาฯ เป็นสถาบันอุดมการศึกษา และสถาบันการแพทย์ชั้นนำของประเทศ จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้มาโดยตลอด จากการสนับสนุนด้วยการบริจาคของประชาชน ทีมวิจัยได้มุ่งมั่นพัฒนายาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยทุกระดับเข้าถึงยาแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพสูงนี้ได้” รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ กล่าว

นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล

นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้ากลุ่มวิจัยพัฒนาแอนติบอดีเพื่อการรักษามะเร็ง ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ด้วยพลังสนับสนุนจากประชาชนที่บริจาคผ่านกองทุนภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งจุฬาฯ กว่า 400 ล้านบาท ทำให้ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเซลล์ตั้งต้นสำหรับผลิตยาแอนติบอดี การพัฒนากระบวนการผลิตยาในระดับอุตสาหกรรม การทดสอบประสิทธิภาพของยาในการยับยั้งมะเร็งในหนูทดลอง รวมทั้ง การทดสอบเภสัชวิทยาความปลอดภัยในลิง และปัจจุบันกำลังดำเนินการผลิตยาแอนติบอดีในระดับโรงงานตามมาตรฐาน GMP ซึ่งจุฬาฯ มีความพร้อมที่จะร่วมมือกับ อภ.ในการนำยาที่ผลิตได้ไปทำวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากนี้ ยังพูดคุยกับสถาบันการแพทย์อื่นๆ ในการร่วมพัฒนา เพื่อขึ้นทะเบียนยาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์

พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการ อภ.กล่าวว่า ยาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็งนี้ เป็นยารุ่นใหม่ในการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพ และจำเป็นต่อการรักษา แต่ยังเป็นยาที่เข้าถึงยาก เนื่องจากราคาแพง การที่จุฬาฯ ได้ศึกษาวิจัย พัฒนากระบวนการผลิต รวมถึง ศึกษาประสิทธิภาพ และความปลอดภัยเบื้องต้นมาแล้วนั้น ทาง อภ.พร้อมจะรับไม้ต่อ เพื่อต่อยอดงานวิจัยให้ผลิต และจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ โดยลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ 2 ฝ่าย คือ จุฬาฯ และ อภ.มีความสนใจร่วมกันที่จะร่วมผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเบื้องต้นนี้ สู่การนำไปใช้จริงทางการแพทย์ต่อไป โดยขั้นตอนจากนี้ประกอบด้วย 2 กระบวนการหลัก คือ การศึกษาวิจัยทางคลินิก (Clinical trial) และการผลิตระดับอุตสาหกรรมเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการผลิต (Process Validation batch) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 700 ล้านบาท

“อยากให้ความมั่นใจว่าเงินของประชาชนจะถูกใช้อย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน โดย อภ.มีแผนที่จะนำยาแอนติบอดีนี้มาวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งปอด คาดว่าจะเริ่มศึกษาในผู้ป่วยคนแรกได้ภายในปี 2568 และจะรวบรวมข้อมูลการศึกษาดังกล่าวไปใช้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยา กับ อย.ต่อไป” พญ.มิ่งขวัญ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image