ศธ.เดินหน้าพัฒนาคุณภาพการศึกษา เร่งยกระดับปิซ่า–ติดตามเด็กกลับเข้าเรียนแล้วกว่า 3 แสนคน
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของศธ. ว่า ที่ประชุมได้ติดตามโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาตามโครงการประเมินนักเรียนระดับนานาชาติ หรือ ปิซ่า โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รายงานความก้าวหน้าการอบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในระดับเขตพื้นที่ จำนวน 245 เขตพื้นที่ 78 ห้องเรียน มีกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 445,624 คน ลงทะเบียนแล้วจำนวน 239,098 คน อบรมแล้วเสร็จ จำนวน 147,794 คน รวมไปถึงจะมีการนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ไปใช้ในห้องเรียน และวางแผนจัดทำชุดพัฒนาความฉลาดรู้สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อสอนเสริมเพิ่มพูนในรูปแบบของโครงการเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime ขณะเดียวกันเตรียมจัด Computer Summer Camp 2025 ส่งเสริมการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้รูปแบบ Anywhere Anytime ช่วงระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้จากตัวเลขผู้เข้ารับการอบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ กว่า 1.4 แสนคน โดยได้สั่งการให้มีการติดตามว่าผู้เข้าอบรมได้นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการออกข้อสอบและส่งต่อให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนของตนเองเพิ่มหรือไม่
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้นำเสนอปัญหาของการเตรียมตัวสอบ ปิซ่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก ทรัพยากรที่จำกัด โดยนำเสนอแนวทางการเตรียมความพร้อมการทดสอบ ปิซ่า2025 ทั้งหมด 4 กระบวนการ คือ 1. สร้างแรงจูงใจแก่นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา ให้เห็นถึงความสำคัญของการสอบปิซ่า 2. สร้างทักษะให้เด็กกลุ่มเป้าหมายได้มีโอกาสทดลองข้อสอบและครูสามารถออกข้อสอบแนวปิซ่าได้ โดยจัดทำ แอพพิลเคชั่นโดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอเข้ามาช่วย ซึ่งมีแผนพัฒนาเอไอในช่วงเดือนเมษายนนี้ ก่อนนำไปใช้ทดสอบกับกลุ่มผู้ใช้จริงในเดือนมิถุนายน 3. โครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการตรวจเช็คความพร้อมของอุปกรณ์สอบปิซ่า 4. ระบบสนับสนุน โดยสร้างความรู้ความเข้าใจให้หน่วยงานในระดับบริหารเห็นความสำคัญ
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้รายงานผลการดำเนินงานการติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ หรือ Thailand Zero Dropout โดยพบว่าข้อมูลเด็กวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ภาคบังคับ (6-15 ปี) มีจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษา 1,025,514 คน โดยสามารถติดตามได้แล้ว 976,123 คน สามารถนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ถึง 321,765 คน และยังไม่ได้ติดตามอีก 49,391 คน โดยจากการรายงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) สามารถติดตามเด็กได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วกว่า 40 จังหวัด
“ซึ่งในจำนวนนี้มีเพียง 9 จังหวัดที่อยู่ใน 25 จังหวัดโครงการนำร่องของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) แสดงให้เห็นว่าการนำร่องไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการติดตามเด็กที่หลุดออกจากระบบปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถติดตามเด็กคือความร่วมมือร่วมใจของชาวศธ.โดยเฉพาะทาง กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และ สพฐ. ที่มีโครงการพาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง ซึ่งถือว่าได้ผลเป็นอย่างมาก โดยจะต่อยอดเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและคาดว่าเด็กที่หลุดออกนอกระบบจะมีจำนวนน้อยลง”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อด้วยว่า ทั้งนี้ในปีหน้าหน้าที่การติดตามเด็กจะไปอยู่กับฝ่ายปกครองในหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทย (มท.) เพื่อลดภาระให้ครูทำหน้าที่หลักในการสอนเพียงอย่างเดียว ซึ่งการลงพื้นที่ของศธ.ก็ทำให้ทราบถึงปัจจัยปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจนมีข้อมูลเพื่อส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาช่วยเหลือเด็กได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็จะถูกส่งต่อให้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการมท.อีกด้วยเพื่อให้เกิดการทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกันมากขึ้น
“นอกจากนี้ในส่วนของการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ผมได้มอบสถาบันทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) ไปจัดทำข้อมูลการสอบโอเน็ตของปี 2568 ซึ่งพบว่า มีนักเรียนสมัครใจเข้าทดสอบโอเน็ตมากขึ้นเป็นจำนวนประมาณ 1 หมื่นคน อีกทั้งยังพบยอดนักเรียนที่แจ้งสมัครสอบแล้วแต่ไม่มาเข้าทดสอบลดลงกว่าปีที่ผ่านมาด้วย ผมเชื่อว่าผลคะแนนทดสอบโอเน็ตจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษา”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว