นักวิชาการ ชี้ กม.ไทยเริ่มก้าวหน้า แต่รัฐยังมองคนรุ่นใหม่ด้านลบ พาสังคมแยกขั้ว จี้ปรับจูนความคิด-แก้ปัญหาประเทศ
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ขณะนี้กฎหมายของประเทศไทยมีความก้าวหน้า และพัฒนามากขึ้น โดยใน 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โดยเฉพาะกฎหมาย กฎระทรวง และระเบียบต่างๆ เช่น กฎหมายเรื่องการห้ามตีเด็ก ที่กำลังจะประกาศใช้ หรือในระดับสากล ที่ ไทยขอถอนข้อสงวนต่อข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งจะทำให้เราสามารถดูแลเด็กข้ามพรมแดน เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ได้ หรือจะเป็นกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับทรงผม และห้ามใช้เครื่องสำอาง ทำให้เห็นว่าไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าและพัฒนา ด้านระเบียบ กฎหมาย และสิทธิเด็ก
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า โดยรวมไทยถือเป็นประเทศที่มีอิสระในเรื่องสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชนมากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆนี้ ตนเข้าร่วมเสวนาเนื่องในโอกาสที่ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ครบรอบ 10 ปี ได้พูดคุยเรื่องสิทธิ และพัฒนาการของเด็ก โดยมีสิ่งที่ค้นพบว่าหากเราไม่เตรียมการตั้งแต่วันนี้สังคมไทยอนาคตอาจจะวิกฤตเจอปัญหาหนัก เด็กที่เกิดมาจะต้องแบกรับภาระหนัก จนอาจจะไม่ไหว ประกอบกับเด็กไทยเกิดน้อยลง ดังนั้น ประเทศต้องเร่งพัฒนาคุณภาพเด็กให้ดียิ่งขึ้นด้วย
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สังคมไทยควรทำคือ 1. ยกระดับการศึกษาของเด็กตั้งแต่ปฐมวัย ตั้งแต่ 0 – 6 ปี จำนวน 2,024,436 คน ที่ได้รับเงินสวัสดิการถ้วนหน้า 600 บาท โดยจะทำอย่างไรให้ได้รับสวัสดิการถ้วนหน้า นอกจากนี้เด็กต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริมในเรื่องของอาหาร การฉีดวัคซีน การเตรียมความพร้อมของครอบครัว และความปลอดภัย ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ตนทำงานเรื่องเหล่านี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าเท่าที่ควร และ 2. การศึกษาที่เริ่มดีขึ้น มี 1 โรงเรียน 3 ระบบ นักเรียนได้รับโอกาส และมีช่องทาง ทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น 3. เปิดพื้นที่ และจัดงบให้สภาเด็ก สภานักเรียน สภามหาวิทยาลัย แสดงกิจกรรม ให้แสดงออกมากขึ้น อย่ากลัวว่าเด็กทำกิจกรรมทางการเมือง นำไปสู่การเดินขบวน ต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก เพราะการที่เด็กทำกิจกรรมจะ พัฒนาและเรียนรู้มากขึ้นว่าอะไรเหมาะสมกับเขา ซึ่งจะลดความรุนแรง และความก้าวร้าว จะจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
นายสมพงษ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยังพบสิ่งที่สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาหลายเรื่อง ดังนี้ 1. พบว่าสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ แตกต่างกันกว่า 20 เท่า นอกจากนี้ยังพบเรื่องยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้าหนักเช่นกัน ซึ่งตนมองว่ารัฐบาลต้องซีลให้ได้ และเร่งปราบบุหรี่ไฟฟ้า 2.สังคมไทยกำลังเผชิญเรื่องภัยออนไลน์ สุขภาพจิต เด็กติดจอ ติดพนันออนไลน์ 3.ช่องว่างระหว่างวัย ทำให้เกิดความขัดแย้ง แยกขั้ว แยกฝ่าย พื้นที่ให้หันหน้าพูดคุยลดน้อยลงตามลำดับ ควรจะมีพื้นที่สร้างความเข้าใจลดช่องว่างระหว่างวัยลง ซึ่งปัญหานี้เชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆในสังคม
นายสมพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องรีบเร่งคือ 1.ต้องเปลี่ยน พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับ ปัจจุบันเด็กเกิดน้อย อาจจะเปลี่ยนให้เด็กจบการศึกษา ปวช. หรือ ม.6 และถ้าทำได้อาจจะกำหนดให้จบปริญญาตรี เพราะเด็กเกิดน้อยสามารถลงทุนทางการศึกษาให้กับเด็กได้ 2. จะทำอย่างไรให้เด็ก เยาวชนที่เกิดน้อยลง เกิดทักษะแห่งอนาคต ทั้งด้านภาษา ด้านการมีงานทำ ด้านซอฟต์พาวเวอร์ เพราะในระยะยาวถ้ายังปล่อยให้กลไก และระบบของสังคมไทยดำเนินไปแบบนี้ โดยไม่เตรียมการให้ดี เราอาจจะไม่มีที่ยืนในสังคมโลก
“ถ้านักการเมืองยังพูดแต่นโยบายที่จับต้องไม่ได้ และไม่เห็นถึงความสำคัญของเด็กรุ่นใหม่ ยังเห็นว่าคนรุ่นใหม่เป็นพวกก้าวร้าว จะทำให้สังคมไทยไม่ปกติสุข มองว่าเราต้องปรับจูนทางความคิด ปรับทัศนคติของเด็กและผู้ใหญ่ให้เข้าหากัน เปิดพื้นที่สร้างสรรค์พูดคุยกัน และในระบบโรงเรียน ถือแม้จะมีกฎหมายที่ดีและก้าวหน้า แต่ในโรงเรียนยังแฝงเรื่องความรุนแรงอยู่ตลอด เราจะเปลี่ยนทัศนคติของครู ผู้บริหาร ผู้ปกครองอย่างไรให้เข้าใจสิทธิเด็ก มองว่าสังคมไทยขาดคนที่ทำให้เกิดพื้นที่ของความเห็นต่าง เป็นพื้นที่ในการรับฟังความคิดเห็น เพื่อพัฒนาและสร้างเด็กให้มีคุณภาพ เป็นกำลังของประเทศ ถือเป็นประเด็นใหญ่ เพราะตอนนี้เรากำลังกดทับเด็ก มองว่าถ้านายกรัฐมนตรี เป็นคนเจนวายจริงๆ ควรกล้าลงทุนกับเด็กแล้วเยาวชน ” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้ทำนโยบายสำหรับเด็กและเยาวชน เป็นงานอีเวนต์ หรือทำเป็นเรื่องๆ ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ขาดความมั่นใจในสังคม ถ้ายังดูแลเด็กเต็มไปด้วยความรุนแรง ถ้าผ่อนปรน และพูดคุยฟ้องเสียเด็กมากขึ้น ตนคิดว่าสังคมไทยจะมีบรรยากาศที่ดีขึ้น อีกทั้ง ปัจจุบันสังคมไทย เต็มไปด้วยข่าวรุนแรง เด็กถูกทำร้าย ทารุณ ระบบโรงเรียนไม่มีคุณภาพ ทำให้เด็กปฏิเสธการมีลูก กลัวการมีครอบครัว เพราะไม่เชื่อมั่น ไม่เห็นอนาคตของลูก ไม่เห็นความปลอดภัย ปัจจุบันสิ่งแวดล้อมเราไม่เป็นมิตร และไม่ปลอดภัย ดังนั้นจะทำอย่างไรให้จะปรับทัศนคติให้เด็กไม่หวาดกลัว และจะทำสังคมให้ปลอดภัย
“ขณะนี้เรามีกฎหมายที่ก้าวหน้า กลไกราชการเริ่มขยับ แต่ตัวนโยบายของรัฐที่มองเด็ก และคนรุ่นใหม่ยังเป็นลบ และเป็นปฏิปักษ์ ไม่ไว้ใจคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะนำพาไปสู่สังคมแยกขั้ว ต่างอุดมการณ์ พร้อมจะทำให้เกิดความขัดแย้งตลอด รัฐต้องปรับจูนความคิด และเข้าในคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่านี้ เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นกำลังของอนาคตและประเทศต่อไป” นายสมพงษ์ กล่าว