สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ จัด ‘Asia Forward Series’ แนวทางของประเทศไทยต่อพลวัตความมั่นคงใหม่

สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ จัด “Asia Forward Series” แนวทางของประเทศไทยต่อพลวัตความมั่นคงใหม่ โดยได้รับเกียรติจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดปาฐกถาพิเศษ

สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จัดงาน “Asia Forward Series” ครั้งที่ 2 การบรรยายพิเศษว่าด้วยกระบวนทัศน์ต่อเอเชียในอนาคต เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ณ หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และได้รับเกียรติจาก พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “From Corridors to Connectivity: Thailand’s Approach to New Security Dynamics” (จากระเบียงเศรษฐกิจสู่การเชื่อมต่อ: แนวทางของประเทศไทยต่อพลวัตความมั่นคงใหม่)

ADVERTISMENT

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวขอบคุณจุฬาฯ ที่จัดงานดี ๆ เช่นนี้ ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างฝ่ายความมั่นคงและภาคการศึกษา บรรยากาศในเวที Asia Forward เป็นความสวยงามและอยากให้มีเวทีเช่นนี้ต่อไป คำตอบของคำถามต่าง ๆ ในงานนี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นความท้าทายและเป็นทางออกด้วย

ADVERTISMENT

การบรรยายพิเศษโดย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มุ่งเน้นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือและความมั่นคงระดับภูมิภาคผ่านแนวคิด “The interior line of connectivity” ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน โดยมีความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ ความท้าทายด้านความมั่นคงที่เกิดจากเทคโนโลยี ความขัดแย้งในภูมิภาค รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่ช่วยเชื่อมโยงและประสานงานในระดับภูมิภาค พล.อ.ทรงวิทย์ ได้กล่าวถึงการเผชิญหน้ากับพลวัตความมั่นคงเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยแนวคิดใหม่ที่เปลี่ยนจาก “เส้นทาง” ไปสู่ “การเชื่อมโยง” โดยประเทศไทยจะใช้จุดแข็งของตน ได้แก่ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลาง ความเป็นกลางทางการเมือง ความร่วมมือในระดับนานาชาติ และประวัติศาสตร์ของการเคารพกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงโดยมีแนวทางสำคัญเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค ประกอบด้วย

1. การเชื่อมโยงผ่านกองกำลังป้องกันประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการ “เชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง” ผ่านความร่วมมือทางทหาร เช่น การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) ซึ่งส่งเสริมการฝึกซ้อมและการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านความมั่นคง, การฝึกคอบร้าโกลด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฝึกทางทหารที่สำคัญของภูมิภาค โดยมีการเชิญผู้แทนด้านการเมือง สื่อมวลชน นักธุรกิจสายเทคโนโลยี และนักศึกษาในแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมสังเกตการณ์เป็นครั้งแรก คณะกรรมการชายแดน ที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาชายแดน นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคม 2568 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัด “การประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดอินโด-แปซิฟิก” และ “การสัมมนาสงครามไม่ปกติอินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 2” ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และกระชับความร่วมมือทางยุทธศาสตร์

2. การเชื่อมโยงผ่านความพยายามของรัฐบาลทั้งหมด ประเทศไทยยึดแนวทาง #TeamThailand โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่ การอพยพพลเมืองไทยจากฉนวนกาซา ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานด้านความมั่นคง และประเทศพันธมิตร,  การรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ที่ใช้เครือข่ายความร่วมมือทั้งทางการและไม่เป็นทางการเพื่ออำนวยความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

 3. การเชื่อมโยงผ่านกรอบพหุภาคีที่มีอยู่ ซึ่งอาเซียนเป็นกลไกสำคัญของความมั่นคงระดับภูมิภาค และประเทศไทยยังคงสนับสนุน “ศูนย์กลางความมั่นคงที่ยั่งยืน” ผ่านกรอบความร่วมมือของอาเซียน เพื่อให้เกิดความมั่นคงและเสถียรภาพบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรม

จะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยเป็นผู้เชื่อมโยงแห่งภูมิภาค?

 แนวคิด “The interior line of connectivity” นั้น ไม่เพียงช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง แต่ยังช่วยสร้างบทบาทของไทยในฐานะผู้เอื้ออำนวยและตัวเร่งปฏิกิริยาของความร่วมมือระดับภูมิภาค พลเอก ทรงวิทย์ ฯ ได้กล่าวปิดท้ายว่า “If you want to go fast, go alone, if you want to go far, go together”

  หลังจากจบการบรรยาย มีการจัดเวทีเสวนา ระหว่าง อาจารย์ ตัวแทนนิสิตนักศึกษา และภาคประชาชนในเรื่อง “ความมั่นคงของมนุษย์แบบมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐและประชาชน” โดยมีการพูดถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงในบริบทโลกที่กระทบต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ และโอกาสในการมีส่วนร่วมในสังคม และการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบายรัฐจากภาคประชาชน รวมถึงข้อสังเกตและคำแนะนำในการพัฒนาพื้นที่ชายแดนที่ขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมทางสังคม

งาน Asia Forward Series ครั้งที่ 2 เป็นกิจกรรมที่สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ จัดขึ้นต่อเนื่องจากงาน Asia Forward Series ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ “Thailand-Australia: Opportunities and Challenges in a Volatile World” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะ แลกเปลี่ยนข้อมูล และความรู้ในมิติต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งนำเสนอบทบาทและความสำคัญของสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ในฐานะแหล่งรวมองค์ความรู้ด้านเอเชีย โดยมี รศ.ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯเป็นผู้กล่าวรายงาน ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ รองอธิการบดี จุฬาฯ เป็นผู้กล่าวปิดงาน

ในงานมีการเสวนาเรื่อง “Human Security: The Role of Public Participation in National and Community Resilience” โดยมีคำกล่าวพิเศษสำหรับการเสวนาโดย รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ศ.กิตติคุณ ดร.สุภางค์ จันทวานิช ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยการย้ายถิ่น สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ และหัวหน้าโครงการวิจัยการยกระดับพื้นที่เมืองชายแดน หน่วย บพท. พิชญา โมลเลอร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาเมือง ธนาคารโลกประจำประเทศไทย และนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ นำเสนอบทบาทของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประเทศชาติ

รศ.ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ  เปิดเผยว่า งาน Asia Forward Series ที่สถาบันเอเชียศึกษาจัดขึ้นแสดงให้เห็นถึงบทบาทของสถาบันเอเชียศึกษาและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการเป็นพื้นที่สำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบทางสังคม โดยมีการบรรยายจากผู้มีบทบาทหลักในการจัดการปัญหาของประเทศ รวมทั้งเป็นการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนิสิตจุฬาฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคต โดยหวังว่านิสิตจะเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมต่อไป

 รศ.ดร.ภาวิกา กล่าวว่า สถาบันฯ มีแผนจะจัดงาน Asia Forward Series อย่างต่อเนื่อง ซึ่งงาน Asia Forward แต่ละครั้งจะเน้นประเด็นที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทุกหัวข้อได้รับการเชื่อมโยงให้เกี่ยวข้องกับบริบทของเอเชียและประเทศไทย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาเชิงนโยบาย ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญที่เชื่อมโยงและต่อยอดให้เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image