ศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต สุขภารังษี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานเปิดการบรรยายวิชาการในหัวข้อ “Driving the Modern Economy with Data and Artificial Intelligence” (การขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์) การบรรยายครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ด้านเศรษฐศาสตร์ จากประเทศอังกฤษ มีใบรับรองด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากหลายมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศอังกฤษและสเปน ได้รับรางวัลงานวิจัยยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของชั้นปีที่ศึกษา เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ห้องประชุมชั้น 8 สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม อาคารอเนกประสงค์ มจพ. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ทั้งนี้ ด้รับความสนใจอย่างมากจากนักศึกษาและบุคลากรกว่า 150 คน
ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง นำเสนอภาพรวมเกี่ยวกับบทบาทของข้อมูล (Data) และ AI ที่กำลังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ การบรรยายครั้งนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มการเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution) ซึ่งโลกกำลังปรับตัวขนานใหญ่จากการใช้ระบบดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ (Automation) ควบคู่กับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อสร้างนวัตกรรม ตอบสนองต่อความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภค ตลอดจนเปิดโอกาสทางธุรกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วิทยากรเน้นย้ำว่า ปัจจุบัน “ข้อมูล” ถูกจัดให้เป็นทรัพยากรสำคัญเทียบเท่ากับ “น้ำมัน” ในศตวรรษก่อน การจะสร้างมูลค่าและความได้เปรียบในการแข่งขัน จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเก็บรวบรวม ทำความสะอาด (Data Cleaning) จัดโครงสร้าง และนำไปวิเคราะห์ผ่านเครื่องมือ AI หรือ Machine Learning ที่เหมาะสม กระบวนการดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ลึกซึ้ง คาดการณ์เทรนด์ตลาดได้รวดเร็ว รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุน ดึงดูดรายได้ใหม่ และเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการกล่าวถึง นโยบาย “Go Cloud First” ของรัฐบาลไทย ซึ่งกำหนดแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐหันมาใช้เทคโนโลยี Cloud เป็นรากฐานสำหรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารระบบ ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และสร้างกลไกการทำงานร่วมกันข้ามหน่วยงานได้สะดวกยิ่งขึ้น
ในการบรรยายยังมีการกล่าวถึงความสำคัญของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Generative AI ซึ่งสร้างสรรค์เนื้อหา (Content) หรือสื่อใหม่ๆ เช่น ข้อความ ภาพ วิดีโอ หรือเสียง เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้โดยปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะตัว นอกจากนี้ AI ยังช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย (Predictive Analytics) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนเชิงรุก ปรับตัวทันต่อสถานการณ์ตลาด และลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งกว่านั้น ในภาคอุตสาหกรรม การนำ AI และ Big Data ไปประยุกต์ใช้ร่วมกับ Internet of Things (IoT) ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการขนส่ง เช่น การติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ การป้องกันเครื่องจักรขัดข้องก่อนเกิดปัญหา (Predictive Maintenance) ตลอดจนการลดของเสียและจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากภาคธุรกิจแล้ว ภาคการศึกษาก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI เช่นกัน มหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนรู้แบบปรับตามรายบุคคล (Personalized Learning) เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง อีกทั้งยังสามารถใช้ AI ในกระบวนการประเมินผลงาน บริหารจัดการข้อมูลนักศึกษา และลดภาระงานซ้ำซ้อนของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย รวมถึงส่งเสริมการวิจัยต่อยอดเทคโนโลยี AI ให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ด้านภาครัฐก็สามารถประหยัดเวลาการทำงาน มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลช่วยในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เช่น การจัดเก็บภาษี การวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารทรัพยากรในภาวะฉุกเฉิน ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้รวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นความปลอดภัย (Cybersecurity) และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) ยังคงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่อาจมองข้าม ในการบรรยายครั้งนี้มีการกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น GDPR (สหภาพยุโรป) หรือ PDPA (ประเทศไทย) ที่จะวางหลักเกณฑ์การจัดเก็บ ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใสและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับฐานข้อมูลภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนผู้ใช้งานทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย (Security Infrastructure) ที่รัดกุมตลอดกระบวนการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล โดยเฉพาะเมื่อปริมาณข้อมูลที่องค์กรถือครองนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
การบรรยายยังชี้ให้เห็นโอกาสและอุปสรรคในกระบวนการ “Digital Transformation” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมต่อการทำงานบนฐานข้อมูล (Data-Driven Culture) รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะเชิงเทคโนโลยีและการคิดวิเคราะห์เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ๆ โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นในการสนับสนุนอีโคซิสเต็มด้านสตาร์ตอัป (Start-up) ที่มุ่งเน้น AI และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยรับแรงผลักดันจากทั้งภาคการศึกษาและภาครัฐ แต่ยังจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงให้ครอบคลุม พร้อมกับลด “ช่องว่างดิจิทัล” (Digital Divide) เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานและโอกาสในการพัฒนาตนเองได้อย่างเท่าเทียม
ในภาพรวม ดร.ณรงค์ชัย ได้เน้นย้ำว่าความก้าวหน้าของข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์เป็นโอกาสสำคัญของประเทศ หากนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จะสามารถยกระดับความสามารถทางการแข่งขันและสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจ ขยายขอบเขตของการศึกษาและการเรียนรู้ รวมถึงพัฒนาการให้บริการสาธารณะของภาครัฐอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งยังต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยในส่วนของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ใช้พลังงานสูง ควรพิจารณาควบคู่กับแนวทางลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การเติบโตในระยะยาวเป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์” ไม่ใช่เพียงแค่การพูดถึงเทรนด์เทคโนโลยี แต่เป็นการตอกย้ำถึงแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวทันกระแสโลก ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่พร้อมสำหรับอนาคต ทั้งภาคธุรกิจ การศึกษา และหน่วยงานรัฐต่างมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกันวางยุทธศาสตร์ สร้างเครือข่ายความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมกันกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ตลอดจนสนับสนุนให้นักศึกษาและบุคลากรรุ่นใหม่มีทักษะเชิงวิเคราะห์และการใช้ AI อย่างเต็มที่ การบรรยายครั้งนี้จึงเป็นเสมือนเวทีที่กระตุ้นการตื่นตัวและสร้างความเข้าใจร่วมกัน ตอกย้ำว่าข้อมูลและ AI ไม่ได้เป็นเพียงกระแสระยะสั้น แต่จะคงอยู่และพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าสู่การเป็น “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ