ศธ.รับลูกนายกฯ เร่งสำรวจหลุมหลบภัย ร.ร.ชายแดน จ่อผลักดันความร่วมมือเอกชนหลังอันดับ IMD การศึกษาตก
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของศธ.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงข้อสั่งการของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยโรงเรียนตามเขตแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งในส่วนของศธ. พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามโรงเรียนบ้านภูมิซรอล และโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ที่จ.ศรีสะเกษ ก็ทำให้พบว่า การสร้างหลุมหลบภัย หรือ บังเกอร์ ของโรงเรียนยังไม่ครอบคลุมความปลอดภัยเท่าที่ควร จึงได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประสานหน่วยงานทหารในพื้นที่สำรวจโรงเรียนที่ติดเขตชายแดนดังกล่าวว่า หลุมหลบภัยมีความปลอดภัยแข็งแรงหรือไม่ และหลุมหลบภัยจะต้องอยู่โดยรอบอาคารเรียนและเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม โดยต้องเป็นจุดที่นักเรียนสามารถเคลื่อนตัวเข้าไปหลบภัยได้ทัน
นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึงการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาตามแนวทางการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ หรือ ปิซา พบว่า การดำเนินงานดังกล่าวพบ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ปราจีนบุรี เขต 1 และ เขต 3 นักเรียนมีอุปสรรคในการตีความโจทย์การอ่าน แบบวิเคราะห์ในเรื่องการอ่าน โดยได้ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปรับการเรียนการสอน เพื่อให้เด็กคิดวิเคราะห์และการอ่านแบบตีความได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ขณะเดียวกันสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้รายงานผลวิเคราะห์เบื้องต้นของการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษา International Institute for Management Development (IMD) ปี 2025 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 30 ซึ่งเป็นแนวโน้มคงที่หรือลดลง 1 อันดับ เนื่องจากการจัดอันดับดังกล่าวของ IMD มีประเทศสมาชิกที่เข้ามาใหม่ คือ ประเทศออสเตรีย โอมาน และนามิเบีย โดยสกศ.ได้ถอดบทเรียนจากผลวิเคราะห์ดังกล่าวแล้ว พบว่า ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญการปรับปรุงข้อมูลทางการศึกษาให้ถูกต้องครบถ้วนและทันสมัยในระบบฐานข้อมูลทางการศึกษาในระดับนานาชาติ เพื่อที่จะให้ข้อมูลสถิติทางการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น อีกทั้งประเทศไทยจะต้องมีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาการศึกษาให้มากขึ้น เพราะแม้ประเทศไทยจะมีความร่วมมือกับภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก แต่มุมมองของภาคเอกชนที่มีต่อระบบการศึกษาไทยยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ได้มากกว่านี้ เช่น ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนช่วยการปรับโครงสร้างการศึกษา หรือร่วมกำหนดนโยบายในการจัดการศึกษา เป็นต้น”นายสุรศักดิ์ กล่าว