นักวิชาการ ถามงานธุรการเป็นหน้าที่ ‘ผู้บริหาร’ หรือไม่? แนะครู4แสนคนผลึกกำลังตั้ง‘สหพันธ์’ต่อสู้ความไม่ยุติธรรม
จากกรณี นางสาวอนุสรา หรือ ครูมัท ครูวัย 39 ปี โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ใช้เชือกผูกคอเสียชีวิตภายในบ้านพัก อ.ลำปลายมาศ ทิ้งจดหมายลาถึง 5 หน้ากระดาษ ซึ่งหน้าสุดท้ายเขียนถึงปัญหาการทำงานที่ตึงเครียดจนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งนี้นั้น
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ครูมัท ถือเป็นศึกของครูที่ต้องต่อสู้กับตัวโครงสร้างและระบบ ตนมองว่าเสียงของครู 4 แสนคนต้องเป็นเอกภาพ ต่อการสูญเสียครั้งนี้ ถ้าเรายังพูดกันคนละที กลุ่มใครกลุ่มมัน ก็จะกลับไปสู่รูปแบบคนเป็นคนตายก็ยังทนอยู่ ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ ตนคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องใช้ทุกเสียงของพลังวิชาชีพครู ต้องไม่ยอมให้โศกนาฏกรรมที่กับชีวิตครูที่ได้รับการกระทำอย่างไม่ยุติธรรมมากยาวนาน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า การอยู่เวรของครูได้ยกเลิกไปแล้ว ดังนั้น ครูที่ต้องมาดูแลระบบการเงินและพัสดุต้องถูกยกเลิกเช่นเดียวกัน พบว่าร้อยละ 80-90 ของครูที่มาทำงานพัสดุและการเงิน คือครูที่บรรจุใหม่แทบทั้งหมด เพราะถูกอำนาจสั่งจากผู้บริหาร หรือครูคนก่อนที่ทำ เพราะครูเหล่านี้ไม่มีสิทธิต่อรองหรือขัดขืนต้องทำแบบลองผิดลองถูกกันมาอย่างยาวนาน งานครูต้องสอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีโครงการต่างๆถาโถมเข้ามา ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 30-40 โครงการ การทำโครงการแต่ละโครงการต้องมีเรื่องเบิกเงินงบประมาณอีกจำนวนมาก ดังนั้น จะเป็นงานที่ใช้เวลานานมาก ทำให้ครูต้องใช้เวลาอยู่กับงานเหล่านี้ประมาณ 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากคิดเป็น 200 วัน ก็จะพบว่าครูได้ใช้เวลาไปกับงานเหล่านี้ 84 วัน
นายสมพงษ์ กล่าวว่า จะเห็นว่างานเอกสารที่ส่วนกลางบอกลงลด แต่ในข้อเท็จจริงไม่ลด เพราะตราบใดที่ส่วนกลางยังต้องการข้อมูล ตัวบ่งชี้ ต้องการเอกสารอยู่ ซึ่งทุกอย่างจะไปลงที่ครูการเงินและพัสดุ ถึงเป็นครูที่มีความทุกข์มากที่สุด เพราะตั้งแต่วันแรกที่รับงาน เอาขาเสี่ยงเข้าคุกไปขาหนึ่งแล้ว เพราะมีโอกาสผิดพลาดมาก ปัจจุบันพบว่าครู 1 ใน 7 มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต มีเรื่องความเครียด ความกดดัน ความเศร้า และร้ายแรงสุดก็คือ กรณีครูมัท ที่ก่อเหตุจบชีวิตตัวเอง เราจึงเห็นครูออกจากระบบเพราะทนไม่ได้คนแล้วคนเล่า เวลามีข่าวเกิดขึ้นมาส่วนกลางก็จะตอบว่าเป็นเรื่องของรายบุคคลไม่เคยคิดทบทวน ไม่เคยคิดเลยว่าทำไมครูเริ่มทยอยออกคนแล้วคนเล่า จนมาถึงกรณีครูมัท
นายสมพงษ์กล่าวว่า หากต้องการช่วยเรื่องวิชาชีพครู ต้องเริ่มจากตัวโครงสร้างและระบบ ถ้าโครงสร้างและระบบยังเป็นเหมือนปัจจุบันนี้ ยืนยันว่ากรณีนี้จะไม่ใช่รายสุดท้าย เพราะโครงสร้างและระบบที่ส่วนกลางเทลงไปให้นั้น มีทั้งโครงงาน กิจกรรม การประเมินผล จากส่วนกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีมากมายไปหมด จะมีวิธีการจัดการให้ลดลงเป็นศูนย์ หรือไม่ซ้ำซ้อนได้หรือไม่ ข้อมูลต่างๆที่ได้จากโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ตัวบ่งชี้ หน่วยงานต่างๆเอาไปทำอะไร เอาไปทำให้ดีขึ้นหรือไม่ หรือเอาไปเพื่อประโยชน์ของสำนักงาน หน่วยงานตนเอง เพื่อของบประมาณในปีต่อไปหรือไม่? แต่ผลในทางตรงกันข้ามคือสิ่งเหล่านี้ไปกดทับ และเพิ่มภาระให้กับครูไม่หยุดหย่อน และจากที่ตนเคยสอบถามหน่วยงานที่ขอเอกสาร ข้อมูลจากครู เพราะเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองผิดพลาดเมื่อมีการตรวจสอบจาก สตง.เท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการทยอยฆ่าครูทุกวัน ทำให้ครูเครียดและกดดัน ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้ของเด็ก เรากำลังทำอะไรผิดพลาดครั้งใหญ่กับการศึกษาไทยหรือไม่
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กเกิดน้อยลง โรงเรียนต้องถูกยุบและควบรวม โรงเรียนขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นทุกปี ในเมื่อมีการเพิ่มภารโรงให้โรงเรียนเหล่านี้ได้ ทำไมถึงเพิ่มครูธรุการไม่ได้ อีกเรื่องที่เราต้องเตรียมการให้ดี เมื่อโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น แต่เด็กลดลง จะมีวิธีการเตรียมการอย่างไรให้ครูที่เพิ่งบรรจุได้อยู่ในห้องเรียนและอยู่กับเด็ก
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า งานพัสดุและการเงินไม่ใช่งานของครู แต่เป็นงานของผู้บริหารโรงเรียนหรือไม่ เพราะในความจริงหลักการบริหารโรงเรียน คือ มีงานวิชาการ งานธรุการ งานบุคคล และงานทั่วไป แต่ทำไมงานธรุการ งานเกี่ยวกับการเงิน ผู้บริหารไม่ทำ ตนสอนครุศาสตร์มาก 40 กว่าปี ไม่เคยสอนเรื่องการเงินและพัสดุให้กับครูที่เพิ่งจบใหม่เลย แต่เรื่องงานวิชาการ งานธุรการการเงินและพัสดุ สอนอยู่ในระดับปริญญาโท ด้านการบริหารการศึกษา ดังนั้น งานบริหาร งานธรุการ การเงิน และพัสดุ เป็นงานของผู้บริหารโรงเรียนใช่หรือไม่ แต่กลับโยนภาระงานเหล่านี้ให้กับครู หากทบทวนเรื่องดังกล่าว จะพบว่าปัจจุบันผู้บริหารจำนวนไม่น้อยไม่ได้สอน ดังนั้นงานเหล่านี้จะเป็นงานในหน้าที่ของผู้บริหาร
“ทั้งนี้มีการตื่นตัวขึ้นในวงการวิชาชีพครู ตั้งแต่ครูสภา ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ขออย่าโพสต์แสดงความเสีย และบอกให้ครูต้องเสียสละ แต่เป็นความที่ครูต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมครั้งนี้ มองการสูญเสียครั้งนี้ว่าจะต้องผลึกกำลังต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ความไม่ยุติธรรม และงานที่ไม่ใช่งานของครูออกไปให้หมด ควรมีคนที่รวบรวมก่อตั้งสหพันธ์ครู ที่เป็นเสียงของครูอย่างแท้จริง ไม่ใช่เสียงขององค์กรบางองค์กรที่มุ่งหาอำนาจ ผลประโยชน์ มองว่าเสียงของครู 4 แสนคนต้องรวมครุศาสตร์ เรียกร้องเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตครูส่วนใหญ่ดีขึ้นไม่เช่นนั้นเราจะเผชิญชะตากรรมแบบครูมัท และครูหลายที่คนลาออกไปเป็นจำนวนมาก” นายสมพงษ์ กล่าว