ขอคนรุ่นใหม่เข้าใจการศึกษานั่ง‘รมต.’ ห่วงคนใหม่เรียนรู้ช้า-นโยบายเก่าหาย50%
นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ตามที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ออกประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย ตามที่ประชาชนได้รับทราบ และขอเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธารแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่รัฐมนตรีสังกัดพรรค ภท.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแล้วนั้น ส่วนตัวมองว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. ลาออกกลางคันย่อมส่งผลเสียต่อระบบการศึกษา นโยบายที่ได้ริเริ่มไว้จะหายไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เพราะไม่ได้รับการสานต่อ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การศึกษาของไทยไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะนโยบายถูกกำหนดโดยรัฐบาล ขณะที่การเมืองไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบ่อย ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐมนตรี นโยบายก็จะถูกเปลี่ยนไปด้วย
“เมื่อนโยบายไม่ต่อเนื่อง ข้าราชการก็ต้องปรับตัว ปรับการทำงานใหม่ เพื่อสนองนโยบายรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งนโยบายที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ริเริ่มไว้ หากไม่ใช่นโยบายที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล ก็จะหายไปและต้องเริ่มทำตามนโยบายใหม่ ขณะเดียวกัน เมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการ ศธ. กว่าจะเรียนรู้งาน ก็ต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน-1 ปี ซึ่งถือเป็นผลเสียของการเปลี่ยนรัฐมนตรีกลางคัน” นายสมพงษ์กล่าว
นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายที่มองว่า จะได้รับการสานต่อคือ การติดตามเด็กนอกระบบการศึกษาเชิงระบบ (Thailand Zero Dropout) โครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) และการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … เพราะเป็นนโยบายที่ได้ทำงานร่วมกับรัฐบาล ซึ่งไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
“สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ อยากให้เป็นคนที่มีความรู้ ความเข้าใจ มีหลักคิดในเรื่องของการบริหารจัดการการศึกษา และระบบโครงสร้าง ศธ.ที่จะต้องดูแลข้าราชการครูกว่า 4-5 แสนคน รัฐมนตรีว่าการ ศธ.คนใหม่ควรจะลงลึกเข้าไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในบริบทพื้นที่ ดูแลการทำงานที่แท้จริงของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้นโยบายที่ออกมาไม่ได้เป็นเพียงนามธรรม ฉะนั้นผู้ที่จะเข้ามาทำงานในส่วนนี้ ต้องมีภาวะของการเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับในวงการการศึกษา เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้น รัฐมนตรีใหม่ ต้องเรียนรู้เร็วทำงานได้ทันที เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เหลือวาระในการทำงานไม่มาก หากใช้เวลาเรียนรู้งานนานอาจไม่เพียงพอ ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาระบบการศึกษาได้” นายสมพงษ์กล่าว